วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เตรียมตัวหางาน สำหรับเด็กที่กำลังจบและเพิ่งจบ

สวัสดีน้องๆทุกคน โฮ่วๆๆ ช่วงนี้ก็คงเป็นช่วงปิดเทอมของน้องๆทั้งหลายเนอะ ถ้าน้องๆที่จบแล้วพี่ขอยินดีด้วยน้าาา 4ปีนี่มันโหดมากๆ (พี่เข้าใจพวกแกเป็นอย่างดี และขอต้อนรับสู่โลกแห่งความจิง555)


ในโพสนี้ พี่จะแนะนำเรื่องงานให้น้องๆว่าควรเริ่มหายังไงดีเน้อ เพราะตอนที่พี่จบใหม่นี่เงิบแดกมาก อะไรแว่ะ ก่าจะหางานได้นี่มันยากขนาดนี้เรยหรอ สิ่งที่คาดหวังว่า จบมาแระบ.มาแย่งตัวเรย โน่วเลย ไม่มี.... ดังนั้น โพสนี้เหมาะกับคนที่ใกล็จบหรือจบแล้วแต่ไม่รุ้จะเริ่มหางานยังไงนะ

อย่างแรกเลยที่พวกแกต้องมีคือ ความขยัน ไม่นอนอยุ่แต่ที่บ้าน 55555 ขอให้รุ้ไว้ว่าถึงพวกแกจะจบไปแล้ว แระคิดว่าจะมีเวลามหาศาลให้หางาน คุณคิดผิดนาจาาา ความจิงบนโลกนี้มันไม่ได้สวยหรูแบบทุ่งราเวนเดอของพี่ริต้านะว่อยย 5555

ไม่หรอกก จะพักสักเดือน ไปทริปอะไรงี้ก้ไปเถอะ (ก้เรียนมาเหนื่อยนิเนอะ ต้องพักบ้างจิ) แต่ขอให้รุ้ว่ามันควรมีจุดจบของการพักแระออกตามล่าหางาน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดีนะน้องๆ

เหตุผลที่พี่ต้องบอกแบบนี้เพราะว่า
1. บางบริษัทใหญ่ๆ เค้าเปิดรับปีล้ะครั้งนะจ่ะ แระปีถัดไปเราสามารถการันตีว่าเค้าจะเปิดรับอีก บางที่เปิดรับคนล้ะตำแหน่ง ก้อาจจะสมัครไม่ได้เพราะเค้าอาจจะเปิดรับตำแหน่งอื่น หรือเรียกวุฒิคนล้ะวุฒิกะที่น้องถืออยุ่ก็อาจจะเป็นได้นะเออ
2. บางที่ต้องเตรียมตัวสอบพอตัว เพราะก้จะมีข้อสอบทางการของบ.นั้นๆ แระก่าจะได้รุ้ผลก่าจะเรียกสัมพาด บลาๆๆ ก้กินเวลา อาจจะเปนไปได้ถึงสองเดือนนะเออ 
3. ยิ่งได้งานเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่น้องๆจะเติบโตไปกะสิ่ง ที่บ.อื่นๆบ้ากันมาก นั้นก้คือ "ประสบการณ์ปีของการทำงาน"

อ่า..อ่านมากันถึงจุดนี้ พวกแกคงคิดว่า เออ มันดูซีเรียสแนะ (อ่ะรุ้ทันพวกแกบางคนที่บอกว่า พี่ผมไม่คิดงี้ง่ะ อันนี้ ย้อนกลับไปอ่านใหม่ ตั้งสติแระ ถามตัวเองว่าเข้ามาอ่านทำไม เพราะนั้นเปนตัวบ่งบอกว่าพวกแกยังไม่ได้อยากหางานพอตัว555555)

โฮกกก...ลากกลับมากลับมาตรงนี้ แระทีนี้จะทำยังไงอ่าพี่???

พี่บอกเลย สำหรับเด็กที่เข้ามาอ่านก่อนจบนะ จะมีชัยไปก่าครึ่งเพราะพี่จะแนะนำเป็นข้อๆเรยว่าควรทำไรบ้าง สำหรับเด็กที่เพิ่งจบใหม่ ก้ทำตามไป มันอาจจะช้าหน่อย เพราะมาเตรียมทีหลังไง (ถ้ามีคนแนะนำแล้วหรือมันไปซ้ำกะในเน็ตบางที่ก้ขออภัย แต่ต้องบอกเลยว่า พี่เขียนเพราะหวังดีจิงๆก้อยากให้น้องๆทำงานเร้วๆคืนทุนพ่อแม่งายยย)

อ่ะ นี่คือสิ่งที่พี่อยากให้พวกแกต้องเตรียมเอาไว้
1. ก่อนอื่นเราลองมองหาสิ่งที่เราชอบ/ไม่ชอบมาก่อน หามาให้ได้อย่างล้ะ5ข้อ แระลองหาตามเน็ตว่ามีอาชีพไหนบ้างที่เราทำได้ อันนี้พี่บอกเรยว่าพี่ทำมันได้แย่มาก เพราะพี่ไม่รุ้จิงๆ พี่ก้เรยโทรถามเพื่อนๆแระให้มันบอกว่าเรามีดีมีเสียอะไรบ้าง เพราะคนรอบตัวเรานี่แหละจะเปนคนบอกว่าเราเปนคนยังไง บางทีเราไม่ได้อยุ่กะตัวเองมากพอไง พอรุ้ตัวอีกทีก้โอ้วว "ชัลไม่รุ้ใจตัวเอง สะแล้ว" 5555 อีกอย่างที่แนะนำได้ในโพสนี้ คือ ลองเข้าไปทำพวก attitude test ตามเน็ตแระดูผลว่าเราเปนคนยังไงกันแน่

อันนี้ก้สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในการใช้สัมพาดของบ.บางที่ได้เช่นกัน เพราะบางที่เค้าอยากรุ้ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร (คำถามเชิงนี้จะวัดว่าตัวน้องรู้จักตัวตนของตัวเองมากแค่ไหนนั้นเอง)

2. Resume 
เรซูเม่เป็นอาวุธอันดับแรกของเด็กจบใหม่เรยก้ว่าได้ เพราะอะไรน้ะหรอ เพราะว่าจะไปสมัครบ.ต่างๆ เค้าต้องดูประวัติย่อยๆจากตัวคุณไง ถ้าจะทำให้รุ้ก้ต้องเขียนเรซูเม่ เพราะมันเป็นสิ่งแรกที่บ.จะดู แระตัดสินว่าคุณทำงานให้เค้าได้ไหม ส่วนวิธีการเขียนเรซูเม่ก้มีมากมาย template พวกแกไปหาตามเน็ตเอาเนอะ พี่แนะนำว่า เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เราควรใส่ 1. Personal information เป็นส่วนของตัวเราเอง บอกว่าเราเกิดเมื่อไหร่ มีแฟนยัง ผ่านเกณทหารไหม (สำหรับผช) แระข้อมูลต่างๆที่บอกคร่าวๆให้บ.รุ้เกี่ยวกะตัวเรา  2.objective and summary of qualification พาร์ทนี้ คือสำคัญมากกกกกกกก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เค้าจะตัดสินว่าน้องมีความสามรถกะตำแหน่งที่เค้าค้นหาอยุ่หรือป่าว แระเปนตัวที่เพิ่มโอกาศให้กะน้องๆในการเรียกสัมพาดงาน.. objective คือบอกว่าเราหางานอะไรคร่าวๆ เราอยากทำงานอะไร เช่น จบการเงินมา ก้อยากทำการวิเคราะห์งบการลงทุนไรงี้ ส่วนsummary of qualification คือสิ่งที่น้องต้องบอกว่า เรามีดีอะไร (ไม่ใช่เมคอัพขึ้นมานะ) ส่วนใหญ่ก้มาจากวิชาที่แกเรียนอ่าแหละ อะไรที่ได้เกรดดีๆ แระพราวลี่พรีเซ้นก้ใส่ไปได้ 3. work (internship) experience อันนี้เอาไว้บอกว่าเราเคยทำงานที่ไหนมาก่อนไหม ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกงานก้ใส่พวก กิจกรรม งานอมรบต่างๆเข้าไปก้ได้เหมือนกัน 4.Skills อันนี้พี่คิดว่าที่ใส่ได้แน่ๆเรย คือ microsoft office เพราะพวกแกคงได้ฝึกใช้มาเยอะแระใช่มะ แระอีกอย่างก้พวกภาษาที่สาม

*Note: ส่วนEducation มันต้องเขียนอยุ่แล้วว่าเรามาจากม.ไหน เพราะฉนันพี่ไม่รวมนะ (เอาเฉพาะที่หลักที่อยากเน้น)

ทั้ง4อย่างนี้คือ สิ่งที่เด็กจบใหม่ควรจะใส่ไปในเรซูเม่ เพราะ บ.จะได้ตันสินใจถูกต้องว่าจะเลือกน้องไปทำงานในตำแหน่งที่เค้าขาดคนได้ไหม

เอาตรงๆต้องบอกว่า ถ้าเรซูเม่เราสวย+น่าสนใจ จะดีแระมีชัยในโอกาศการเรียกไปสัมพาดมากก่าครึ่งนาจา เพราะฉนั้นทำให้ดีๆ ควรให้อจ. หรือ เพื่อนๆดูก่อนก้ได้ว่าดีไหม ดีไซของเรซูเม่น้องโหลดตามเน็ตไม่ก้หาใน word ได้เรยนะ หรือถ้าดีไซเองก้ดี อันนี้คือเก่งมาก พี่แค่แนะนำสิ่งที่คิดว่ามันประหยัดเวลา55555

3. Cover letter
ส่วนตัวอันนี้มันดี ถ้าจะส่งdirect e-mail ไปทางฝ่ายHRอ่านะ เพราะมันดูดีก่าอยุ่ดีๆก้ส่งเรซูเม่ไปเดี่ยวๆ ส่งอันนี้พร้อมเรซูเม่ของเรา ทางHRเค้าจะได้รุ้ว่าเราต้องการอะไร มาจากไหนคร่าวๆ
*ขอบอกว่า เราควรหาข้อมูลบ.ที่เราจะส่งไปก่อนดีๆเด้อ เพราะอย่างน้อยเวลา hr อ่านจะได้รู้ว่าเราทำการบ้าน และสนใจในตัวบริษัทเค้าเท่าไหร่ จุดนี้พี่แนะนำได้ว่า อาจจะใส่ใน cover letter ว่าเราติดตามบริษัทนี้อยุ๋ เช่น มีเพื่อนๆพี่ๆเคยทำงาน ชื่อเสียงของบ.ไม่ว่าจะด้าน product หรือ marketing ของเค้า อยากร่วมงานกับคนที่ professional น้องมองว่ามันท้ามาย ก็ใส่ไปในนี้ได้นะ
4. ผลสอบภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL, TOEIC, IELTS 
แนะนำเดกที่จบใหม่ ถ้าไม่มั่นใจมาก อย่าเพิ่งสอบ ielts toefl เพราะค่าสอบแพง พี่แนะให้ไปสอบ toeic เพราะใช้สมัครได้หลายบ. แระอีกอย่างสำหรับเด็กอินเตอร์แล้วพี่ว่ามันไม่ยากมาก

พี่แนะนำให้เดกที่กำลังจบเตรียมพวกนี้ ให้ทันก่อนจบสักเทอมหรือสองเทอมเนอะ จะได้ไม่เสียเวลามาทำทีหลัง สำหรับเดกที่จบแล้วก้นั้งเตรียมไป พี่แนะนำให้ไปสอบโทอิคให้ผ่านภายใน1เดือน หรือให้เร็วที่สุด ส่วนเรซูเม่แระโคเวอเลดเตอร์เราควรทำให้เสดหลังระหว่างรอผลสอบอยุ่

โอเค ทีนี้เตรียมทุกอย่างครบแล้วก้ สมัครงานเรย อย่างแรกเรยคือ สมัครตามเว็บต่างๆเช่น JOBTOPGUN. JOBTH, JOBTHAI, JOBSDB

และก้อย่ากลัวที่จะสมัครทางตรงจากเวปของบ. ต่างๆ บางที่จะมีให้ส่งเมลแจ้งเตือนว่ามีตำแหน่งเปิดรับสมัครอยุ่ อย่าลืมไปลงกันล้ะ อ่ออ..มีอีกที่ก้คือ พวก job fair ซึ่งส่วนใหญ่บ.ใหญ่ๆเค้าจะมารับสมัครเด็กจากมหาวิทยาลัย เราสมัครตรงนั้นก้น่าจะได้ อันนี้ลองตามข่าวจากม.ต่างๆดู

*อย่าลืมมาร์คเอาไว้ด้วยว่าเราสมัครที่ไหนไปบ้างนะ เพราะบางทีเค้าโทรมาไม่ทันตั้งตัว เราอาจจะเงิบแดกได้ กลายเปนว่าไม่ได้งานก้มีนะเออ

***ส่วนพาร์ทสุดท้ายที่พี่อยากแนะนำ ก้คือแนะนำการหางานสำหรับคนเกรดน้อย กิจกรรมด้อย
ต้องบอกว่า เอาจิงๆนะ อย่าเลือกงาน ไปเลือกงานจิงๆเรยหลังจากเรามีประสบการแล้วตอนที่ทำงานกะบ.แรก อย่างน้อยปีหรือสองปีไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่เลยไปถึงจุดนั้นแล้ว เค้าจะไม่คิดว่าเกรดสำคัญอีกต่อไป5555 ถ้าอยากชุบตัวหน่อยๆ พี่แนะนำให้เรียนต่อป.โท เราจะได้รุ้มากขึ้นแระสร้างความแตกต่างกะเดกป.ตรีคนอื่นๆได้ (ความเหนส่วนตัวนะ บางทีไม่จำเปนก้ได้ เพราะค่าใช้จ่ายเยอะโฮกก แล้วแต่น้องๆตัดสินใจแระกาน)
หรือไม่ก้ลองไปสอบพวกใบเซอ หรือ อะไรที่เราคิดว่าเอามาใส่เรซูเม่ได้ เช่น สมัครสอบ CPA CFA อบรมตามม.ต่างๆ หรือฟรีสุดไรสุด ก้หาตามพวกเว็บดูๆเอา เช่นเวบ thaiMOOC เพื่อเอาใบเซอ มาเป็นเรฟในการฝึกงานได้จ้าส

ท้ายสุดถ้ามันหางานไม่ได้จิงๆ พี่แนะนำให้น้องลองทำ พาร์ททาร์ม (สำหรับคนงบน้อย) หรือไม่ก้ไปWork and travel (สำหรับคนงบเยอะ) เพราะจะได้มีอะไรมาอัพเดทกะเรซูเม่เราได้ไง

สุดท้ายยยแล้วจีๆ ก้อยากเปนกำลังใจให้น้องๆที่กำลังหางานอยุ่เน้อ มันจะเงิบช่วงจบใหม่ๆแหละสำหรับคนที่ยังหางานไม่ได้ พอหาได้เท่านั้นแหละ ก้สบายแล้ว!!

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Sports economics สาขาใหม่ของคนยุครักสุขภาพ

ในยุคของคำที่บอกว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ มันก็มีช่วงนึงที่พี่บ้าถึงขนาดที่ว่าจะย้ายตัวเองออกไปเรียนสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา 5555 เพราะเห็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสที่ตัวเองอยุ่แล้ว เห่ยยย..อยากเป็นบ้าง ก้คือตอนนั้นที่คิดแบบนี้เพราะใช้ชีวิตอยุ่ที่ฟิตเนสระดับนึงเรย 55555

ทีนี้พอมาคิดอีกที ก้เออ ศศ. (เศรษฐศาสตร์) ไปอะไรวิทย์ๆเนี่ยนะ คือจิงๆมันก้ได้นะ เพราะศศ. มันก็คือร่างอ่อนแอของนักวิทยาศาสตร์นั้นแหละ 55555 เพียงแค่เราไม่ได้เข้าแลปถ้าจะให้เปรียบห้องแลปในศศ.อ่าหรอ แลปของพวกเราคือ stata  มั้ง ฮาาา

ทีนี้หลังจากปรึกษาคนรอบตัวแล้ว...เค้าก็บอกว่ามันมีสาขานึงของวิทย์กีฬาที่รวมอีค่อนเอาไว้ด้วย!!! เราก้เห่ยยย หนทางซิ่วไปได้สูงแระนะ5555 ก้เรยลองหาในเนต สรุปคือ มันเปนสาขาใหม่มากกกกก ที่เพิ่งเปิดในอเมริกา แระมันเอาศศ.มาผสมยังไงล้ะ?

ศศ.ของเรานี่จะแยกได้หลักๆเรยอ่านะเปนสองภาค microeconomics กะ macroeconomics แมคโครคือเราดูภาพรวมของเศรษฐกิจ ถ้าไมโครเราจะเจาะลึกไปที่ภาพรวมของพวกเอกชน บริษัท แระดูว่ามันมีผลกระทบกะเศรษฐกิจเรายังไงบ้าง เช่น บริษัทแห่งหนึ่งผลิตและส่งออกสินค้าได้มากแค่ไหน

ส่วนวิทยาศาสตร์การกีฬาเนี่ยนะ เท่าที่พี่หาดูมันจะแนวๆชีวะ เช่น เรียนเกี่ยวกะร่างกายของคน anatomy นั้นแหละ  แระก้จะมีพวกทฤษฏีที่แบบว่า ออกกำลังกายส่วนไหนจะได้กล้ามเร็วที่สุด แต่หลักๆเรยก้จะเปนพวกกีฬานั้นแหละ 5555

ที่พิมๆมาก้พอเกตไอเดียกันแมะ 5555 คือถ้ามองแบบกรวงๆแล้วอ่านะ มันต่างกันมากเรยนะว่อย 55555 แต่ๆ ก็มีคนที่เอาสองเมเจอร์นี้มายำรวมกัน แระสาขาที่เปิดที่เดียวตอนนี้มีแค่ที่อเมริกาจ้าาาา.. 55555

ก้คือถ้าจะให้เล่าแล้วศศ.การกีฬา มันตกลงแล้วยังไงเนี่ย พี่ว่ามันเป็นการดูกลยุทธ์ของเกมส์ โดยใช้ศศ.จุลภาค มาใช้วิเคราะห์ หรือที่เราเรียกกันว่า game thoery นั้นแหละ

แระทีนี้ บางคนคงเอ้ะ ทฤษฎีเกมส์เนี่ยนะ?? อืมมม ตอนแรกพี่ก็งงแต่ในเมื่อมันมีก้ต้องเหล่าให้ฟัง 5555 คืองี้ ในทฤษฎีเกมส์ของชาวศศ. เรามีมากมายหลากหลายทฤษฎี เท่าที่พี่จำได้คือ หาความสมดุล (nash-equilibirum) ของเกมส์ช่ะ และในการกีฬา เค้าจะมีการจัดทีม การดูกลยุทธ์ของคู่แข่ง เราเอาทฤษฎีเกมส์ตรงนี้แหละมาใช้วิเคราะห์ เช่นคำนวณหาincentive payoffs หาค่าความเปนไปได้ว่าคู่แข่งจะเล่นเกมส์ยังไง (แบบในทีมฟุตบอลเค้าจะเลือกใครลงแข่ง) แระก้น่าจะมีการหาค่าoptimization แระ cost structure ไรงี้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เจอคือเปนวิชาจากภาคไมโคร ล้วนๆเลยจ้า...

ถ้าให้พี่เดาทางของคณะนี้นะ มันน่าจะแบ่งตัวจาก วิชาการจัดการมาได้ส่วนหนึ่งด้วย หลักๆก้น่าจะพวก กาาจัดการคน hr management แระก้พวก operational management ที่น่าจะเกี่ยวกะกลยุทธ์ของการจัดทีมในการกีฬา

ส่วนพวกวิทยาศาสตร์การกีฬาน่าจะเปนพื้นฐาน เหมือนเรีนนกันตอนปี1 แระมาลงเรียนศศ.ตอนปี3-4 ไรงี้ หรือมันจะสลับกันก้ได้นะเออ แบบเรียนศศ.ก่อนแระมาวิทย์งี้

สรุปแล้วน่าสนใจไหม พี่คิดว่าสำหรับสังคมสมัยนี้ที่คนต่างหันมารักสุขภาพมากขึ้น พี่ว่าน่าสนใจพอควร เพราะต้องบอกก่อนว่าอีค่อนเนี่ยนะ มันเน้นการประยุกใช้ในชีวิตต่างๆแต่ปัจจุบันอีค่อนเราถูกทำให้ออกไปแนวสายสังคมศ.มากขึ้น ซึ่งพี่มองว่าถ้ามันได้รวมกะวิทยศ. ไรงี้หน่อยๆ มันจะทำให้น้องแกร่งขึ้นมากมาย อย่างน้อยมันจะทำให้น้องไม่ง่อยเรื่องวิทๆ แระไปเรียนต่อโดยไม่มีอุปสรรคทางนี้ต่อไป อีกทั้งเพิ่มความน่าสนใจในประวัติ หรือก้คือ แรงงานตลาดต้องการคนจบแนวมิกส์ๆเยอะขึ้นแล้วนาจา

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

General education เค้าเรียนอะไรกันที่มูอิค

General Education
มันก้จะเปนวิชาพวกพื้นฐานต่างๆนาๆอ่านะ 

1.1 English Communication
วิชาอังกฤษ ที่ต้องเจอมีประมาณ 4-5 ตัว อย่างที่บอกไปตอนก่อนๆ ว่าถ้าคนที่เริ่มด้วย ERS ก็จะต้องเรียนทั้งหมด 5 ตัวครับ

ตอนพี่เรียนพี่ติด ERS อ่านะ เป็น วิชาที่เขียน Essay ชิ้ลชิลลล แต่ก็มีคนสอบไม่ผ่านมาแล้ว อันนี้ขอแนะนำว่า ชิลได้แต่ขอให้ส่งงานให้ครบ และที่สำคัญตัวนี้ไม่มีเกรดเนอะ ก็ตั้งใจหน่อยๆแระกัน เพราะมันเป็นพื้นฐานของการหาข้อมูลและการอ้างอิง (Reference) ซึ่งน้องๆจะได้ใช้ในวิชาอื่นๆอย่างแน่นอลล

วิชานี้ก็จะเรียน เกี่ยวกับการหาข้อมูลอ้างอิงในสิ่งที่เราจะเขียน เหมือนสอนให้เราหาแหล่งข้อมูลที่มันดูน่าเชื่อถือ (ที่ไม่ใช่เอามาจากวิกิพีเดีย)แระ อจ เค้าก็จะกำหนด style+pattern ในการเขียน สอนวิธีrestatement และ citation แบบ  APA style ซึ่ง ข้อมูลทุกอย่างจะต้องไม่โดนก๊อปมาส่ง อจ.เค้าจะมีวิธีเช็คโดยการให้นร. ส่งงานเขียนเข้าไปใน Turnitin อันนี้จะเป็นเว็บที่ ตรวจข้อมูลเทียบกับเว็บต่างๆว่ามันมีเปอร์เซ็นสูงแค่ไหนในการก็อป ซึ่งถ้าน้องๆก็อปๆมาส่ง อจ.ก็จะรู้ทันที โหดมิล้ะ 5555

ตอนพี่ลงวิชานี้ พี่เรียนกับอจ.Russel ซึ่งหลายต่อหลายปากได้บอกกันว่าเค้าโหดมากกก เอาจิงเค้าก็โหดจิงๆเพราะ เค้าบ้าตรง Reference หรือหา DOI (จำไม่ได้ว่าย่อจากอะไร) แต่เท่าที่จำได้มันจะต่างจากแหล่งข้อมูลที่หาตามเว็บต่างๆหน่อย เหมือนจะมี รองรับข้อมูลว่ามันเป็นจริงไรงี้มั้งงงนะ แต่ๆๆถ้าถามว่า ข้อมูลตาม เว็บข่าวแบบ CNN ไรงี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน เพียงแต่คะแน้นแนนน้อยยย 55555 (แต่ๆๆ**ก็ไม่เห็นต้องแคร์เลยเนอะ เพราะว่ามันก็ไม่ได้มีเกรดอยู่แล้วหนิ เอาให้ผ่านก็ได้แล้วมั้งงง อิอิ)

ต่อกันด้วย EC1 ซึ่งรวบยอดมาจาก ERS แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเรียน ERSเลย อจ.ส่วนใหญ่ก็จะปูพื้นฐาน แต่ไม่เข้มข้นเท่าตอนเรียนERS คือสอนคาบหนึ่งได้และก็ไปต่อ นอกนั้นรีวิวเองนาจา และอจ.ก็จะตามด้วยการสอนวิธีการเขียนเอสเสแต่ล้ะ Format (คล้ายๆในไอเอล) เท่าที่จำได้ก็จะมี illustration อะไรงี้ การส่งงานก็เหมือนเดิมเลยย ล็อคอินเข้า Turnitin กดส่งและ คะแนนอะไรออกในนั้นหมด (จะได้ไม่ต้องอายเพื่อนๆ 5555)

อีซี1พี่ลงกับอจ. Stein Phillip อจ.คนนี้ใจดีมากกกกกก (ขอแนะนำนะถ้าเค้ายังสอนอยู่) คือ วิธีการสอนของแกจะชิลๆและปรับเข้ากับเด็กๆในคลาส แบบ วันนี้ถ้ามันหนักเกินไปและเด็กมีมิดเทอมอยู๋ อจ.แกก็จะให้นั้งรวมกลุ่มคิดหัวข้อเขียนเอสเสไรงี้ อยากจะบอกว่าตอนพี่เรียนวิชามันพีคมากตรงที่ มีชุมนุมกลุ่ม กปปส และเหมือนตอนนั้น ม.ให้เด็กหยุดไปเลยยยช่วงไฟนอล วิชานี้เลยไม่มีไฟนอลเพราะว่าอจ. ฟิลิปแกน่าจะไปเที่ยวแล้ว ส่วนเกรดนั้นอจ.แกก็เพิ่มเปอร์เซนของแต่ล้ะงานให้มันครบ 100% (ขอชมอจ.นิดนึ
งตรงที่เค้ามองคะแนนเด็กแต่ล้ะคน ล้ะดูว่าจะเพิ่มตรงไหน แบบถ้าเด็กคนไหนคะแนนไม่ดี เค้าก็จะเพิ่มทั้งเซค งานนั้นน้อยๆ แบบเพิ่มขึ้นมา 5%ไรงี้ และอย่างอื่น 10%) อันนี้ต่างคนก็ต่างแฮปปี้กับเกรดกันถ้วนหน้า

ส่วนอีซี2 หลายคนบอกจะไปยากตรง Argument essay ซึ่งเราต้องเขียนแย้งให้ได้ว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น รวมถึงหาข้อมูลมาซับพอร์ตเราด้วย และเขียนอีกว่าทำไม ไม่เชื่อตามคนที่เขียนในArticle พี่จำได้ว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะอจ.จะแนะนำและคอยดูว่าเราทำถึงไหนอยู่เหมือนกัน ตอนอีซี2 พี่ลงกับ อจ.Willaim อจ.คนนี้ก็ออกแนวตลกๆดี เน้นความฮาในคลาสทำให้ไม่เครียดมาก แต่ตอนตรวจก็แอบหวังว่าแกจะช่วยหน่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ 55555 รู้สึกถ้าจำไม่ผิดก็จะมีให้ส่งเอสเส ทั้งหมด4หัวข้อนะ มีบางงานอจ.จะจับเราเข้ากลุ่มแล้วให้ช่วยกันหาข้อมูลได้ แต่สุดท้าย เอสเสส่งแบบเดี่ยวๆนะ อารมณ์แบบรักเพื่อนช่วยเพื่อน แต่สุดท้ายตัวใครตัวมัน!! ขอเตือนว่าอย่าชิลจนเกินไปเพราะว่า งานหนึ่งนี่ต้องใช้เวลาเขียนพอสมควร มันจะยากตรงเรียบเรียงข้อมูลแหละส่วนใหญ่ ส่วนความยากอันที่สองก็น่าจะเป็น Logic ในการให้เหตุให้ผล ในเอสเส อะไรทำนองนี้ สุดท้ายพี่ก็เห็นผ่านๆกันหมดนะ จะตกก็พวกที่ไม่ส่งงานอ่ะ 55555

มาถึงอีซี3 วิชานี้เป็นวิชาที่พี่คิดว่าทรมานมากสุดแล้วในบรราดาอีซีทั้งหลาย เพราะพี่เป็นคนที่ชอบเขียนมากกว่าพูดอ่านะ (พรีเซ้นวิชาอื่่นทีนี่ มือไม้สั่นไปหมด ฮาาา) แต่ พอเรียนจิงๆเห้ยย เม่งง สนุกว่ะ นั้นแหละ อีซี3 คือ "The Art OF Speaking"  ซึ่งเนื้อหาที่เรียนก็จะเรียนเกี่ยวกับการพรีเซ้นโปรเจคหน้าห้องเรียน ถ้านึกไม่ออก อารมคล้ายๆแบบ ไปยืนนำเสนองานให้หัวหน้างานฟังไรงี้ 555 ซึ่ง สิ่งที่จำเป็นมากมาย ก็คือการทำ Power point และการพูด การเรียบเรียงความคิดในการนำเสนอ

สิ่งที่ทำให้อีซี3ส่วนใหญ่ มีแต่คนบอกว่า เห้ยๆๆ สนุก พี่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะ เราไม่ต้องหา Reference หรือเปล่า คือ มี แต่ก็น้อยไง อย่างอจ.พี่ นี่ ให้ cite แค่4 ref. เองนะ และอีกอย่างคือ มันไม่ต้องเครียดมาก เพราะ ถึงตื่นเต้นยังไง พรีเซ้นเสร็จแล้วมันจะรู้สึกดีใจมากกๆๆ 555 ส่วนอจ. พี่ลงกับอจ.ที่ชื่อ Mark นะ ถ้าจำไม่ผิด คนนี้เค้าใจดีอยู่ แต่คิดว่าลงกับคนไหนก็น่าจะคล้ายๆกันเพราะ ec3 จะกำหนด standard ไว้นะ แบบพรีเซ้นตอนไฟนอล ก็จะมีอจ.อีกหลายๆเซคมาช่วยตัดสินให้คะแนนอยู๋ดี รวมๆแล้ว พี่ว่ามีความชิลไปในตัวสะด้วยซ้ำ เพราะมิดเทอมอีซี3ก็ไม่มี เอาเป็นว่า อยากให้น้องๆเจอกับตัวเองและดูเองว่าเป็นแบบที่พี่เล่าป่าวนะ อิอิ

ส่วนEC4 พี่เลือก Introduction to linguistic วิชานี้ก็จะเรียนเกี่ยวกะ"ภาษา" ตอนแรกก็จะเรียนภาษาของสัตว์ก่อน แระไปต่อยอดการรับรู้ภาษาของมนุษย์ รวมไปถึงศึกษาสมองและวิธีการออกเสียงด้วย วิชานี้รวมๆน่า่สนใจดี ตอนเรียนสนุกมากก มิดเทอมกับไฟนอลอจ.มีไกด์ให้ เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจลองหาตำราของราม Ebook ก่อนก้ได้ อ่านในนั้น ถ้าสนใจจิงๆลงเลย แนะนำๆ

1.2 Natural science, 
ไม่มีอะไรมาก ก็เลขๆๆ ประมาณ 4ตัวนะ สำหรับคนที่ติดRefresher Math ถ้าใครไม่ติดก็สบายไป โดดไปเรียน เมตริก กราฟ บลาๆ ใน Intensive math ส่วน math1 (Dif/integrate) และ math 2 (stat.) สองวิชานี้จะเป็นวิชาที่มีเครดิตเด้อ

ใน Nat sc. พาร์ทเลข ของเด็กบีบีเอ อย่างพวกเราๆก็จะไปเรียนรวมกะเด็กเมเจอร์อื่นด้วย แบบ เด็กที่เรียนสายสังคม ฟู้ดไซ อะไรงี้ก็มาเรียนกันด้วยนะเออ ก็จะบอกว่าน้องก็จะเจอกันช่วงนี้แหละ หลักจากนั้นก็แยกย้ายตามเวรตามกรรม ฮาาาา โอเชช เลขตัวที่1 คือ refresher math ตัวนี้เรียกได้เลยว่า เรียนพื้นฐานเลขแบบ เ*ยๆเลยย แก้สมการเบื้องต้นต่างๆนาๆ บวก ลบ เลข เนื้อหาเซตก้มีนิดๆไม่ยากๆ ชิลๆๆเลยแหละ แต่ก็มีคนตกนะเออ 55555 และ ตัวที่2 ที่เค้าจะให้น้องๆเรียนต่อ ก็คือ Intensive math ตัวนี้ พี่จำได้แต่ว่ามันไม่ยากขนาดนั้น เป็นเนื้อหาเลขม.4-5 น่าจะ สร้างกราฟ ฟังชัน Hyperbola ต่างๆนาๆ ภาคตัดกรวยก็มี และตามตบท้ายด้วย เมตริก (มีอีก แต่จำได้แค่นี้ TT) ส่วนใหญ่ที่เจอ พี่คิดว่า (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ) เด็กที่ไม่ได้ผ่านม.ปลาย รร.ไทยหลักสูตรโหดๆมาก็จะตกกันระนาบ บางคนนี้คาบเส้นผ่าน แต่เอาเหอะ คิดอีกมุม ผ่านพอแระเพราะมันไม่มีเครดิตให้เก็บ 5555

ตัวที่3 จะเป็นเนื้อหาของ Fundamental math ซึ่งเรียนเกี่ยวกะ Optimization หรือดิฟ อินทีเกรด สมการ Second degree differentiation ก้มานิสๆ แบบที่เรียนกันตอนม.6อ่า (แต่ไม่โหด แบบให้ดิฟ cos,sin,tanนะ อันนั้น เด็กพวกApplied math เจอ) ตามหลักสูตรนั้นเป้ะๆเลย แต่ถ้าถามว่า เห้ยยย ไม่เคยเรียนอ่าพี่ ทำงายยยยยเดดด... บอกเลอว่า อจ.จะปูพื้นฐานชนิดที่ว่า เด็กที่เคยเรียนมาตอนม.ปลายแบบพี่ ก็ยังงง 55555 เพราะเค้าสอนไม่รุ้เรื่องจิงๆ (พูดอะไรก้ไม่รุ้ งึมงำๆ วกไปวนมา) อันนี้ ยอมรับเลยท้อเพราะอจ. (ทุกวันนี้กะยังจำชื่ออจ.ไม่ได้เรยนะ) ไปนั้งงมเนื้อหาตอนม.ปลายยังดูง่ายก่าที่อจ.สอน ฮาาา ตัวนี้ขอเตือนนะ เพราะเห็นเพื่อนๆพี่ๆตกหลายคนเลย ส่วนใหญ่คนที่บอกว่าผ่าน intensive math แบบเป้ะๆเว่อ และพื้นฐานเลขไม่แน่นก็จะตายๆกันไป หรือไม่ก็ได้ D+ ครั้งแรกในชีวิตปี1 5555 อันนี้ไม่ได้ขู่หรือว่าใครนะ เพราะเห็น แบบนี้จิงๆ สิงที่แนะนำได้ คือ อย่างแรกทำใจกะอจ. ถ้าเค้าสอนไม่รุ้เรื่อง คือ ปกติ 555555 อย่างที่สองคือ หมั่นทวนเยอะๆ ทำโจทย์เยอะๆ หนังสือที่อจ.ให้อ่าน เค้าออกไม่เกินนั้น ทำโจทย์ในนั้นชิลๆไปก้ได้ แต่ปันหาคือ มันไม่มีคำตอบก็อาจจะ หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ยังไงก็ไปถามอจ.เอาคำตอบได้

ตัวที่4 คือ สถิติ ซึ่งก้คือแบบเดิมแหละ ก่อนมิดเทอมนี่มันคือ เนื้อหาม.ปลายชัดๆแบบหา ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน มัธยนิยม หาco-variance พื้นที่ใต้กราฟ บลาๆๆ จะไปหนักก็ตรงหลังมิดเทอมขึ้นไป คืออารมแบบนรกแดรกก 5555 พี่ก้จำไม่ค่อยได้แล้วเรียนอะไร เพราะพอผ่านแล้วมันไม่ได้ใช้เลยย มีใช้นิสหน่อยยย ตอนเรียน Econometric วิชาเมเจอร์พี่ แต่อันนั้นเอาโปรแกรมรันได้ ประมานว่าเข้าใจความหมายก็โอเคแล้ว ยังไงก็สู้ๆนะทุ้กคนนน ทวนเยอะๆ อย่าโดด***

ส่วนวิชาที่เหลือสองตัว ใน gen ed อันนี้เนื้อหาก็จะเน้นไปที่ พวกวิทยาศาสตร์แต่ก็อย่างที่บอกไปตอนต้น ส่วนใหญ่เรียนที่มูอิคจะเป็นliberal arts ซึ่งก็จะไม่ค่อยมีคำนวณเยอะเท่าไหร่

อ่าา อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่าสองตัวที่เหลือพี่เรียนอะไรอ่าดิ คืองี้ พี่ลง internet technology กะ ecosystem ตัวแรกนี่แนะนำมากๆเลย ลงเทอมแรกก้ได้นะเพราะชิลเว่ออ มันเป็นวิชาที่พี่ก้ยังไม่รุ้เลยว่าเรียนแล้วได้ไร 5555 เท่าที่จำได้ก้การใช้เน็ตนะ แบบพวก adsl, search engine บลาๆ อะไรที่เกี่ยวกะอินเตอร์เน็ตไม่พ้นวิชานี้แน่ๆ ส่วนอีตัวที่สอง ใครไม่เก่งวิทย์ลงได้นะแต่อ่านในหนังสือหน่อยเพราะ แอบยากนิสๆ หลังมิดเทอมคือ ยากโครต เรียนไม่ค่อยรุ้เรื่องด้วยจำได้เลย เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ชอบ อจ.โหด อย่าลงเล้ยย อจ.คนนี้คือ Lard Allen นาจาา (คนเดียวกะที่สอนปั่นจักก้านั้นแหละ)

1.3 Humanities, 
อันนี้ แล้วแต่น้องๆเลือกเลย ตอนพี่เรียน พี่เลือก
วิชาบังคับ1 ตัว พี่เรียน Logic หรือ ในภาษาไทย เราเรียกว่า ตรรกศาสตร์ หรือ ศาสตร์ของการให้เหตุให้ผลนั้นเอง วิชานี้ น้องๆม.ปลาย ร.ร.ไทย จะคุ้นๆเพราะพวกเราเคยเรียนไปแล้วในวิชาเลข ตอนม.4!!! (ยังจำได้ไหม จำได้หรือป่าววว...) แต่ อันนี้ จะไม่ใช่เลข แต่มันคือ การเอาเครื่องมือของการโลจิก มาใช้ในการวิเคราะห์ประโยค ภาษาอังกฤษ ออกแนวแบบ เอาไปใช้ได้ตอนเขียนเอสเส ของอีซี2 Argument เพราะสุดท้ายแล้วเหตุและผลต้องสมกัน ไม่งั้นขัดหลักโลจิก

วิชานี้ สำหรับใครที่ลงนะ ตรงๆเลยนะ ขาดไม่ได้ เข้าคลาสได้ต้องเข้าให้ครบ ต้องมีวินัยในการทบทวนจิงๆ เพราะ เนื้อหาแต่ล่ะครั้งที่เรียนเราต้องเอาไปใช้ในครั้งถัดไป ซึ่ง ถ้าไม่ทวนก้จะมึนๆงงๆ และสุดท้ายก้ตายกันไปตามๆกัน 555 เห็นเพื่อนๆของพี่บอกว่า คนที่เกตก้จะเกต คนไม่เกตก้ไม่เกต แต่พี่ว่ามันไม่ใช่ มันเกี่ยวกับการเรียนของตัวเองมากกว่า ว่าเราตั้งใจมากน้อยแค่ไหน ตอนพี่เรียน ต้องทวนบ่อยมาก เพราะไม่งั้นมันจะไม่เกตทั้งหมดทันที มีคำถามอะไร ไปถามอจ. เพราะอจ. จะช่วย บางทีเปิดเป็นคลาสที่ Math clinic เน้นติวเฉพาะ โลจิกเลยก้มี 555 และการบ้านต้องทำที่อจ.สั่งไม่งั้นก้เหมือนรุ้แต่เนื้อหาแต่ไม่ได้ฝึกโจทย์

ส่วนคำแนะนำ ตอนพี่เรียน พี่ก็ซัฟเฟอร์มากกกกก เพราะ เทอมนั้นพี่ทำกิจกรรมเยอะมากก ไม่ค่อยมีเวลาทวน บวกกะว่า มันจะมีหนังสือเล่มเล็กๆที่อจ.จะให้อ่านอยู่ บอกเลยว่าพี่ไม่เกต อ่านไปสามหน้า คือไม่รู้ว่าอ่านไรไป เพราะสิ่งที่อ่าน มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่เราเห็นในปัจจุบัน (คนเขียนเค้าเขียนมานานแล้ว ประโยคไรงี้ ก้เรียบเรียงสะเข้าใจยากเลย 5555) พี่แนะนำให้คนที่เก่งภาษาไทย อ่านไทยได้โอเค แบบเข้าใจกว่าอ่านภาษาอังกฤษอยู่แล้วไปหาตำราเรียนของ ม.ฬ ดู อันนั้นเข้าใจง่ายกว่าเล่มที่อจ.ให้อ่านเยอะะ!! ส่วนคนที่ไม่ค่อยเก่งไทย หาดูเลยในยูทูปมีเยอะเยะ ติวโลจิกอะไร ก้พิมไป ขึ้นมาหมดแหละ เพราะอย่าลืม ถ้าเราซัฟเฟอ ก็แสดงว่ามีอีกหลายคนที่ซัฟเฟอแบบเราอยุ่ อิอิ สุดท้ายขอโปรโหมด สิ่งที่ได้จากโลจิก นี้หน่อยแหละกัน เผื่อมีคนสนใจ สิ่งที่พี่ได้เลย คือพี่มองดูเหตุผลของข่าวโอเคขึ้นเยอะ แบบ บางทีอ่านข่าวก็จะรุ้ว่าคนนี้เขียนดีหรือป่าว ถ้ามันไม่สมผล ก้คือ อย่าไปเชื่อ และพี่เรียนรู้ที่จะใช้ ตรรกสัญลักษร์ ในการแบ่งประโยคเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะบางที ประโยคหนึ่งมันเวิ่นเว้อมาก โลจิกเนี่ยแหละจะทำให้เรียบเรียงได้ง่ายขึ้น สุดท้ายแล้ว ไอ่วิชานรกนี้ที่หลายคนบอกว่ายากๆๆๆ ยากแต่มันใช้ในชีวิตได้จิงๆนะ ก้ลองเทียบแต่ล่ะวิชาดูเอานะ ว่าชอบหรือป่าว อ้อ ตอนพี่ลง พี่ลงกะอจ. Wong นะ ซึ่งเค้าเป็นครูคนเดียวกันกะที่สอนเลข intensive math นะ อจ.ก็สอนได้อยุ่อ้ะ ตอนพี่ลงโลจิกก็มีแต่คนบอกให้ลงกับครูที่ชื่อบาบาร่า แต่พี่ลงไม่ทันไงงง อารมตอนนั้นคืออยากขึ้นคอร์แล้ว 55555 เอาเปนว่า ไม่ว่าอจ.คนไหนจะสอน พี่เชื่อว่า เค้ามีstandard ในการสอนเหมือนกันแหละ

ส่วนอีก 2 พี่เลือก Language track - ญี่ปุ่น 1+2
วิชานี้ก็ไม่มีอะไรมาก ญป1 ก็เรียนหนังสือ มินนาโนะนิฮองโกะเล่ม1 รุ้สึกบท 1-7 นะ ส่วน ญป2 ก็จะเป็นบท 8-17 สิ่งที่แนะนำได้ คือ หมั่นทวนนาจาา 5555 เพราะ เขียนผิดนิดผิดหน่อยหักเยอะเหมือนกัน ความเป้ะของคนญป น้องๆก้น่าจะรุ้ดีอยุ่แล้วเนอะ 5555 อ่อ ต้องขอชื่นชมอจ.Takayoshi เพราะเค้าสอนดีมาก ใส่ใจเด็กมากๆ (หลังคะแนนมิดเทอมออก แกจะเรียกคนที่คะแนนนไม่ดีไปคุยว่าจะเอายังไงกะชีวิตต่อดี ทนต่อหรือยอมแพ้ เลือก!!!) 55555 เอาเป็นว่า ลงเลยถ้าคนมีพื้นฐานมาก่อน ส่วนคนไม่มีพื้นฐาน หมั่นทวนนะ มันต้องทวนจิงๆไม่งั้นไม่ทันความโหด4สัปดาป์สอบ 5555 อ่อ อีกอย่างถ้าน้องบางคนอยากศึกษาภาษาญป แบบจิงจังเลยอ่านะ แนะนำให้ลงไมเนอร์ ถ้าจำไม่ผิดรุ้สึกต้องผ่านทั้งหมด 6เลเวล หรืออะไรสักอย่าง เอาเปนว่าสนใจไปถามเซนเซล้ะกาน

พี่บอกเลยคนที่ได้ไมเนอร์ญี่ปุ่นนี่ จบออกไปก้ได้งานรุ่งเยอะมากๆเลยนะ เพราะฉนัน ลองดูก้ไม่เสียหาย ขอแค่ลองแล้วห้ามขี้เกียจ 5555 ไม่งั้น ด็อกบวก ไปแดร็กก

1.4 Social science,
อันนี้เนื้อหาของวิชาสังคมเลยย ตอนที่พี่เรียนนี่ชิลนะ แต่พอตอนสอบนี่ ยัดๆๆอย่างเดียว แนะนำให้เขียนเยอะๆ เพราะ อจ.จะได้หาจุดให้คะแนนได้ 555555

ตอนพี่ลง พี่ลง Human Geography (ชิลมากกกกก ถึงมากที่สุด555) กับ Political science (วิชาเก็บเอ ชิลมากๆ)

1.5 Health science
กีฬาๆๆนั้นแหละ แล้วแต่เราเลือกเลยย ตอนพี่เรียน พี่เลือกแบตมินตันกับพละศึกษา
ขอบอกกะใครที่คิดจะเรียนพละศึกษานะว่า มันก้ไม่ได้แย่ขนาดนั้น พี่ได้เอด้วยน้าาา วิชานี้มันออกแนวแบบ ให้ความรู้ด้านสุขภาพอ้ะ มีประโยชน์อยู่ๆๆ 5555 รวมๆ ก็โอเคอยู่นะ ชิลๆดี 5555 แต่ถ้าจะให้แนะนำลง น้องๆก็เลือกเอาที่ตัวเองชอบก็ได้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะลงอะไรจิงๆ ก็ลงแบตแบบพี่ก็ได้นะ บวก กอล์ฟ และก็ว่ายน้ำ หรือไม่ก็ ถ้าชอบความมันส์หน่อยก็ไปบาส และก็ American Flag

แนะนำ ว่าให้เก็บไปให้หมดเลยตอนปี1 ตอนลงรีจิสมันจะเต็มเร็วมากๆ แต่พวกน้องรอช่วงแอดดรอปได้นะ อันนี้ไม่มีปัญหาเรื่องAttendanceอยู่แล้ว ชิลๆเลยเพราะ อจ.ส่วนใหญ่ก็น่าจะรอพวกแอดดรอป