วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Economic courses

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนแระกันว่า เศรษฐศาสตร์ (ศศ.) มันดียังไงและทำไมน้องๆถึงต้องเลือก ศศ. (เมเจอร์นี้คนน้อยมาก555)

ศศ. เป็นเนื้อหาสมัยใหม่ ซึ่งมีมาประมาณ200กว่าปีได้ล้ะ เริ่มมีคอนเสปคร่าวๆประมาณปี1776 โดย คุณ Adam Smith ที่เค้าเขียน "The wealth of Nation" (อันนี้ เด็กศศ.ทุกคนควรรู้นะ ไม่รุ้นี่ พี่จะตีนะ 555) คือ เมื่อเทียบกับคอนเสปทางการแพทย์แล้วเนี่ย เค้าจัดให้ Economics เป็น ศาสตร์ใหม่แห่งทางสายสังคมศาสตร์เรยนะเห่ย! โดยปกติแล้ว หัวใจของศศ.จะเน้นไปที่3วิชาหลักๆเลย (three fundamental of economics) คือ Macroeconomics, Microeconomics, และ Econometric ซึ่ง3วิชานี้จะเป็นพื้นฐานที่นักศึกษาศศ.ทุกคนจะต้องเรียนและ เอาไปใช้ในการทำวิจัย ประยุกต์ให้เข้ากับกิจการประจำวันหรือ ภาพรวมของเศรษฐกิจนี่เอง

ปัจจุบันก็มีสาขาอื่นแยกขึ้นมาอีกมากมาย เช่น Economics of labor, Economics of management, international economics แระอีกมากมาย

ส่วนตัวเลยนะ พี่คิดว่ามันต้องเข้าใจพื้นฐานและถึงจะไปต่อยอดในอีกหลายๆมุมมองอ่ะนะ เพราะฉนั้น ตั้งใจเรียนกันหน่อยแระกัน ตอนพี่จบมามีแต่คนบอกให้รับราชการ แบบกระทรวงการคลัง ไปเลยย ไม่ก็รัฐวิสาหกิจ หรือพวก แบงค์ ต่างๆนาๆ หรือไม่ก็ไปเป็นอจ.ศศ. ซึ่งถ้าไม่เจาะจงแบบนี้ งานมันก็จะกว้างมากๆๆ เมื่อเทียบกับเด็กพวก Finance, Mkt ไรงี้ เพราะจริงๆแล้ว เด็กศศ. เหมือนเรียนเพื่อให้เกตโลจิก เหตุและผล ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ๆ และสุดท้ายก็ Form conclusion หรือ คาดเดาอนาคต based on collected data ซึ่งถ้าเรียนจิงๆแล้วอ่านะ จะเห็นได้ว่า วิชา ศศ.แต่ล้ะตัว ล้วนแต่จะเป็นอะไรที่ค่อยข้าง Abstract หน่อยๆ มันจึงไม่มีงานที่ตรงๆสายแบบ เน้นๆแบบพวกบัญชี แดรกเงินเดือนเยอะๆสะใจๆ (ถ้าไม่เก่งจิง จบศศ. ส่วนใหญ่เงินเดือนน้อย) สะทีเดียว แต่ๆๆๆ ไม่ได้บอกว่าเด็กศศ. จะไม่มีงานหลังจบนะ คือ เท่าที่พี่สังเกตุมา บริษัทต่างๆ เช่น SCG, Kasikorn bank, Impact พร้อมจะรับเด็ก ศศ. เพียงแต่ น้องๆจะทำงานกะเค้าหรือป่าวเท่านั้นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ พี่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า ศศ ดีกว่าเมเจอร์อื่นยังไง 55555 เอาเป้นว่า พี่คิดว่า ถ้าน้องๆชอบ ศศ.จิง มันจะเรียนสนุกมากเลยนะ พี่เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจ มันใช้หลายtheory อธิบายได้ แต่เอาให้ตรงๆเลยก็ คือ วิชาศศ.เนี่ยแหละ อย่างเช่นดูกระทู้พันทิพอันนี้ https://pantip.com/topic/36681586 พี่ว่าคห.ที่29 เค้าก็อ้างอิงจากหลักศศ.มหภาคอ่าแหละ ซึ่งเอาจริง คนที่อ่านจะว้าวมากก (ก็คงดูเท่สำหรับเด็กศศ. มั้งงง 5555)

ถ้าจะบอกความแตกต่างระหว่างศศ.กะสายสังคม เช่น รัฐศ. (ใช้เมเจอร์นี้สะเรย)
พวกที่เรียน รัฐศ. ก้จะเกต สตอรี่สะส่วนใหญ่ แต่ของเราชาวศศ. จะใช้กราฟอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเช่น Asian crisis พวกเด็กศศ. ก็จะมีเป็นกราฟ supply and demand in FX market อธิบาย + สตอรี่รวมๆ เช่น impossible trinity มาอธิบายซับพอร์ตtheory/economic modelเพิ่ม แต่ถ้าเด็กรัฐศ. ก็จะเน้นไปที่แบบ พวกความสัมพันระหว่างประเทศ เช่น Plaza accord ที่ตอนนั้น 5ประเทศรวมตัวกันเซ็น ก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤษครั้งนั้นได้ ซึ่งพวกเด็กรัฐศ ก็จะอาจจะเน้นไปจุดๆหนึ่งมากกว่าเด็กศศ.

 เอออที่นี...และวิชาศศ.มันดียังไง? มันดีตรงที่ว่า ถ้าน้องเรียนจบ น้องจะไปต่อป.โท และเราเลือกต่ออะไรได้เยอะ จะไปต่อ ศศ. (เน้นเจาะลึกอีก) รัฐศ MBA logistic ก็ได้ สังคมก็ได้ อักษรก็ดี เพราะพี่เชื่อว่า ผ่าน ศศ มา ทุกคนล้วนมีLogical thinking อยุ่เยอะพอสมควร + น้องพอมีพื้นฐานเลข ที่พวกเด็กสังคมส่วนใหญ่ลืมๆกันไปแล้ว (สังเกตุจากประสบกาณร์ส่วนตัวเด้อ) และภาษาน้องก็โอเคอยุ่แล้ว ต่อโท เลือกที่ชอบๆ อะไรก้ได้ สบายเลยนะพี่ว่า แต่ๆ ถ้าจะให้พี่บอกว่า แระมันดียังไงตอนหางาน พี่บอกตรงๆเลยว่า มันค่อนข้าง abstract มากกก และ เนื้อหาที่เรียนๆก็ไม่ได้จะใช้ได้จริงในตอนทำงาน ใช้ได้ก็น่าจะตรงพวก Operational management พวก procurement หรือไม่ก็ต้องเน้นไปทางวิจัยหลักๆไปเลยแหละมั้ง ซึ่งข้อนี้ พี่แนะนำว่าให้น้อง ต่อป.โท นะ มันจะได้รุ้ว่า จิงๆแล้ว ศศ. Apply ยังไง มันจะเห็นภาพมากกว่า นั้งวาดกราฟแน่นอน 5555 แต่เอาจิงๆ ถ้าไม่เลือกงาน ยอมทำไป ขึ้นชื่อว่าศศ.แล้ว หลายบริษัทรับเยอะนะ อ้อออ ถ้าน้องๆจบแระไม่รู้จะทำอะไรจิงๆและก็ไม่อยากเรียนต่อ แบบ พักหน่อยๆ แนะนำให้ลองเล่น Forex ดูนะ หรือจะไปดูหุ้นก็ได้ จิงๆแล้วไฟแน้นกะ ศศ. มันก็ของคู่กันนี่แหล่ะ แต่ถ้าจะให้พี่บอกว่าไฟแน้นดีกว่าศศ.ไหม พี่คงบอกได้แต่ว่า มันเป็นศาสตร์ใหม่ที่แตกแขนงมาจากรากฐานของศศ.เรานี่แหล่ะจ้า ถ้าสนใจจริงๆแนะนำว่าให้เรียนศศ.ป.ตรีให้แม่นๆแล้วต่อโทไฟแน้น ปลั๊วๆแน่นอลล (หรือป่าวหว่าาา 5555)

ส่วนพวกที่ถามว่า เห่ยยย พี่! แระถ้าน้องจบสายสังคมมาแระจะมาต่อศศ.ป.โทอ่ะได้ไหม? พี่ตอบว่าได้!! เอาจิงส่วนใหญ่จบอะไรมาศศ. ป.โทก้รับหมดนะ มันไม่มีกำหนดตายตัวว่าต้องมาจากคณะนี้ เพียงแต่ "Are you willing to take on new challenges?" เท่านั้นเอง เพราะ ศศ.ถ้าไม่เคยผ่านตามาก่อนบอกเรยว่ายากกกส์... แต่ก้ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถหรอกน้องง ส่วนตัวที่สังเกตุมาอ่านะ ถ้าจบพวกวิศวะมาแระมาต่อศศ. ก้จะเก่งค่อนไปทางเลข คือได้เปรียบอ่ะ ในเชิงวิชาพวกสถิติไรงี้ แต่ก็จะไปเริ่มใหม่ตรงศศ.มหาภาค หรือจุลภาคแหละนะ5555 ส่วนสายสังคม หรือว่าพวกสายอาร์ตต่างๆ อันนี้ก้ต้องเข้มแข็งหน่อยเพราะเหมือนเริ่มอะไรหมด สิ่งเดียวที่น้องจะได้เปรียบคือ "สตอรี่" ที่พวกแกเรียนๆกันมา เช่น Keynes เค้าเปนนักศศ.ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ยุคdepression ไรงี้ พวกแกก้จะมองเหนภาพว่าทำไมเค้าถึงคิดแบบนี้ๆๆ ช่วงนั้นคนเปนยังไงถึงทำให้เศรษฐกิจมันแย่ พวกแกก้จะลิ้งได้แหละ (มั้งงง5555)

ส่วนด้านล่าง จะเป็นเนื้อหาของ BE ที่ MUIC แล้วกันเนอะ

BE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือ ศศ. ธุรกิจ ซึ่ง ถ้าไปดูม.อื่น อย่างของ EBA chula ทางนุ้นเค้าจะเป็นpure Economics เค้าจะไม่มีเนื้อหา หรือมุมมองของภาคธุรกิจ แบบเราๆว่าบริหารยังไง (หรือป่าวหว่า? อันนี้ไม่แน่ใจ ถ้าน้องๆคนไหนเรียนหรือมีเพื่อนเรียนอยุ่ EBA เม้นบอกพี่หน่อยน้าา ว่าพวกเค้าเรียนอะไรกันบ้าง55)

เนื้อหาที่ต้องเรียน ก็จะมี

1. Intermediate Microeconomics.
วิชานี้คือ ไมโครระดับกลางที่จะเป็นเนื้อหาต่อจากตัวก่อน (Microeconomics 101) เนื้อหาค่อนข้างจะคล้ายๆกัน เพียงแต่ที่มันเรียกว่าระดับกลางนี่เพราะมีเลขปนเข้ามาเยอะหน่อย เนื้อหาเริ่มแรกเลยนะอย่างที่เคยบอกไว้ เราจะเริ่มที่ Demand side ก่อนเสมอ และเริ่มขยายภาพให้กว้างขึ้นไปจนถึง Supply side และเอาสองตัวนี้มาหาจุดตัดกันในตลาด (equilibrium) ซึ่งจุดนี้แหล่ะมันเรียกว่า market mechanism ที่จะสะท้อนราคาตลาดของตอนนั้น

Demand side ก็จะดูที่พฤติกรรมของผู้บริโภค มองที่การคนคนหนึ่งชอบของอะไรอย่างหนึ่ง ต้องจ่ายเท่าไหร่ (Preference) และโยงคอนเซปนี้ไปถึงการกำหนดราคาสินค้า (Pricing theory)

อันนี้เขียนเผื่อๆไว้ใครเข้ามาอ่านหน่อยแระกัน คือตอนเรียนเนื้อมันค่อนข้าง Abstract มากมาย (เอาจิงขึ้นชื่อว่าอีค่อนก็กำกวมหมดอยู่แระ5555) เอาเป้นว่าพี่จะเขียนให้เยอะเท่าที่พี่จำได้ล้ะกัน เผื่อเด็กศศ. และ เด็กไฟแน้นคนไหนอยากลงจะได้ดูว่าน่าเรียนไหม 

เริ่มแรกด้วยเลยคือ Assumption ที่ชาวอีค่อนให้ความสำคัญมากเพราะ ถ้าขาดอันนี้ Theory ต่างๆมันจะไม่เมคเซ็นทันที 5555 โอเค อย่างแรกเลยคือ เค้าแอสซูมว่าโลกใบนี้มีของแค่สองอย่าง เอาง่ายๆ ถ้ามันมีหลายอย่างจะวาดกราฟยาก เพราะกราฟอย่างมากเลยมันมีได้3ตัวแปร (X,Y,Z) จำง่ายๆเลยคือในโลกมี 2อย่าง ในกราฟเราจะได้มี2แกนหลัก 

บทแรกคือส่วนของ Utility หรือความพึงพอใจของผู้บริโภค อย่าลืมว่าคนอีค่อนสมัยก่อนไม่สามารถเข้าใจความพึงพอใจของทุกคนได้ ในเมื่อคนหนึ่งบอกว่าชอบอันนี้มากกว่าอันนู้น แต่พอผ่านไป เอ้าอี่คนนี้ชอบอันนุ้นมากก่าแระ มันค่อนข้างมี Error เยอะเวลาเราเอาข้อมูลมาทำวิจัยอ่ะนะ เอ่า..ล้ะทีนี่จะทำยังไงให้มันง่ายขึ้นล้ะ -- แท้๊นแท้นน ก็เรียงลำดับมันสะเลยสิ ใครชอบอะไรมากกว่ากัน เรียงเอาเลย 1 2 3

อ่าคง งง ล้ะสิว่าทำไมต้องเรียงลำดับ อย่างที่บอกไปเนอะ ในการที่ชาวอีค่อนทั้งหลายแหล่จะลดError จากการเอาข้อมูลมาทำวิจัยเค้าต้องเมคชัวว่า ไม่มีมันไม่มีความ"Bias"ในฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้ เค้าเลยเออออ เรียงเอาเลยล้ะกัน แระอีกสาเหตุหนึ่งคือเรื่องของ Monotonic transformation คือการเรียงลำดับความชอบ ประมานว่ามันสามาารถคงรูปลำดับได้เมื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นฟังชันต่างๆ จะเปลี่ยนไปแบบไหนก็ยังมีผลของข้อมูลเดิมอยุ่ดี อันนี้ใครไม่เชื่อลองไปค้นเพิ่มล้ะกัน 

อ่ะ ต่อๆๆ เสร็จจากตรงนู้นเราก็จะมาต่อกันด้วย การหาUtility function (U) ก็ไม่มีอะไรมาก ดิฟกระจายเพื่อพิสูจนู้นนี่ แต่ๆ พี่จะอธิบายให้ง่ายๆล้ะกันว่าดิฟไปทำไม เราดิฟUtility fn เพื่อหา MRS (Marginal rate of substitution) หมายควายว่า เราต้องการหาจุดบนเส้นU ที่คนๆหนึ่งต้องการแลกของอย่างหนึ่งไปเป็นอีกอย่าง เช่น เรามีM and M เยอะ แต่เราขาด Mars,  MRS จะบอกว่าเราพร้อมจะแลก MnM กี่ถุงเพื่อจะได้ Mars เพิ่ม (พอเกตกันไหม555) ทีนี่เพื่อที่จะวาดที่บ่นไปเมื่อกี้บนเส้นกราฟใช่มะ ชาวอีค่อนก็เลยบอกว่า Shape of Utility curve อ่ะ มันน่าจะ "Convex to the origin given that the goods are good" นะ หรือเอาง่ายๆมันคือตัวUที่เฉี่ยงขวาบนกราฟ

**อย่าลืมว่า Maginal คือ small change นั้นคือเหตุผลที่เราต้องดิฟ เพื่อหาจุดเปลี่ยนในฟังชัน เราจะมานั้งหาเองก็ไม่ใช่ เพราะฉนั้นถึงตรงนี้แล้วใครไม่เข้าใจ ก็นะ ดิฟเห้อออ 5555

ต่อมาก็หา optimal bundles (ขอบอกเลยว่า ถ้าจะหาอะไรๆที่มัน optimal ใน ศศ.เนี่ย ส่วนใหญ่คือหาจุดตัด 5555) โดยหา Budget line แระหาจุดตัดกะเส้นของU  และมองลึกขึ้นไปอี้กกกถึงคุณลักษณะของตัวของสินค้า (normal goods, inferior goods, substitution, perfect substitute .... และหา optimal bundles) -- เหนื่อยเนอะ 5555 เด่วมาต่ออ

2.Intermediate macroeconomic
ต่อเวรต่อกรรมด้วย เมคโครระดับกลาง ขึ้นชื่อว่าระดับกลางแล้วอย่างที่บอกไปไม่พ้นเลขจ้าา 5555
พี่ว่าเอาจิงๆนะตัวนี้ มันควรจะเริ่มก่อนพื้นฐานของเมคโครสะด้วยซ้ำ มันดูเข้าใจมากกว่า 555

เมคโครก็จะเริ่มด้วยว่า มันแตกต่างจากไมโครยังไง อจ.เค้าก็จะพูดประมานว่า เมคโครจะมองมองภาพรวมของเศรษฐกิจ ถ้าจะหาข้อแตกต่างกะไมโคร ก้อย่างเช่น ถ้าพูดถึงเรื่องราคา เมคโครจะโยงไปดูที่เรื่องของ inflation แต่ถ้าไมโคร ก็จะเป็นเรื่องของการตั้งราคา (Pricing theory) ถ้าไป Supply side ไมโครจะมองไปที่utility แต่แมคโครจะมองที่ output (Y) หรือ GDP นั้นแหละ พอเกตไอเดียมะ คือแมคโครจะมองมุมกว้างๆๆ ออกแนวมองเป็นประเทศเป็นประเทศไป ส่วนไมโครจะเป็นมุมมองของภาคธุรกิจ/เอกชน หรือพวกครัวเรือน (households)ต่างๆ และ อจ.ก็จะพูดอีกว่า แมคโครมันใช้พื้นฐานของไมโครมาเพิ่มเป็นเนื้อหา (Rely on microeconomics foundations) อ่ออ...แระ ยังจำได้ไหมจำได้หรือป่าวว 555 พี่เคยบอกแล้ว ว่าเมคโครเนี่ย จะโฟกัสไปที่ Internal&External balance เมคโครระดับกลางของที่มูอิคเลยเน้นไปที่internal bal.ก่อน external bal. จะไปต่อกันตอน inter fi

และภายใน10นาทีนี้ก็อจ.ที่พึ่งพูดชิลๆว่าไมโครและเมคโครต่างกันไงก็จะเริ่มบทที่1 5555 ซึ่งไม่น่าจะหนีพ้นเรื่อง Labor market -- อันนี้จะเป็นตลาดที่ดูเรื่องของ unemployment
Production function
Money market (market of loan able funds)

อ่อ อีกอย่าง เรียนอีค่อนเราต้องเรียนให้เป็น ซึ่งพี่ได้จับกึ่นว่าเวลาเรียนเมคโครส่วนใหญ่จะไม่พ้น Aspects ของโมเดลตามยุคต่างๆ (classical, Keynesian, monetarist etc.) พวกนี้จิงๆ นั้นก็คือ
1. notions of price (assume fixed vs flexible price)
2. Role of government (fiscal/monetary policy for market intervention? Effective or not)
3. Time frame -- short run to long run
4. Market structure ex. Perfect market  monopoly
5.Variables (Real vs nominal variables)

เช่นในยุคclassical (Adam smith) เค้าจะเชื่อใน flexible price, no government intervention or if there is intervention, it should be from fiscal policy (effective in long-run)


Monetary policy
นโยบายการเงิน หรือ แมคโครภาคต่อจาก intermediate ก็ว่าได้555 (จิงๆเนื้อหามันไปด้วยกันนะ) อันนี้จะเป็นเกี่ยวกับรัฐบาลแระนโยบายการเงินของรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความต่างของนโยบาลการคลังกะเงิน มันเป็นอะไรที่ต่างกันมาก นโยบายการเงินจะมองไปที่การจัดการปัญหาหลักๆของมุมมองในภาคแมคโคร เช่น inflation, exchange rates, trades etc. ส่วนการคลังจะเน้นไปที่การ allocation of  government's budget to society เช่น พวกภาษี อะไรพวกนั้น

Public economics
มันคือ Wealth fare economic and government choice... เน้นไปที่รัฐบาลสะส่วนใหญ่ โดยเน้นวิเคราะห์ผลจากนโยบายพวก Tax หรือ Externality ตัวนี้อจ. เปิ้ลสอน ใจดีมากกกกกก (น่ารักด้วย คือเค้าสอนเข้าใจมากๆ) แถมส่วนใหญ่ก็กินเอ กันไปตามๆกันเพราะ เหมือนอจ.ช่วยจิงๆนะ 5555 ถ้าอยากรุ้ว่าเรียนเกี่ยวกะอะไรคร่าวๆก็จะไม่พ้นอะไรนอกจากดูเรื่องของดีมาน และ ซับพราย 5555 เริ่มด้วย Concept of Edgeworth box คือรวมเส้น Utility ของคนสองเข้าด้วยกันเพื่อหา General equilibrium ซึ่งก็หนีไม่พ้น เส้นอีสองอันนี้ Tangent กันแระกันอ่านะ 5555 แต่ทีนี้ใน edgeworth box มันดันมีได้หลายเส้นที่optimal ไง นัก ศศ เลยเออ ไหนๆมันก็ bachelor of artsแระ ลากเส้นเม่งสะเลย 5555 เส้นนี้เลยเรียกว่า Contract curve พอได้เส้นนี้แล้วก็ เออ อะไรที่อยุ่บนเส้นนี้นะมันจะ optimal นะว่อยย 5555 และๆๆ เอาอันนี้แหละมาวาด ด้านซับพราย หรือสร้าง Production possible frontier หรือหา resources allocation เอาจิงๆไม่ยากมาก มีความคล้าย utility curve แต่กลับด้านกัน 5555

พอเสร็จแล้วช่ะ ก็เอาคอนเซปสองอันนี้มายำรวมตัวกัน แระตู้มมม เกิดเป็น คอนเซปของ Government's outputs distribution หลักๆเลยก็คือทำยังไงให้แฟร์ ใครเกตเรื่อง income distribution บ้างไหมมมม ก็นั้นแหละ เราเรียนตัวนี้เพื่อทำให้ ช่องระหว่างคนรวยกับคนจนไม่ห่างกันมากเกินไป

พอเรื่องนี้ผ่านไปก็จะเรียน ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ไม่เกิด Economic efficiency ซึ่งก็จะครอบคุมไปตั้งแต่ externality, public goods, private goods และก็น่าจะมี Economic of information (asymmetric infor, market of lemon (มีป่าวหว่า จำไม่ได้555)) เอาเปนว่าหลายๆอย่างไม่ได้ยากมาก อจ.เปิ้ลสอนดีอยุ่แล้ว ไม่เข้าใจอะไรก้ไปถามแกได้ แกชอบให้คนถาม 5555


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น