วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Economic courses part II

แบ่งออกมาเป็น2พาร์ท (มันน่าจะยาวมากๆ555)

International trade and finance

สองตัวนี้ตอนที่พี่เรียน จะแยกเป็นสองตัวเลยนะ แต่หลักสูตรใหม่ตอนนี้จะเอาอิสองตัวนี้รวมกันแล้ว ก้คือ เจอเทรดครึ่ึง อีกครึ่งเปนอินไฟ เออ แล้วมันต่างไงง่ะ พี่ (หลายคนถาม 5555) พี่ตอบเลย อ่อ ไม่ค่อยแตกต่างหรอก อจ.เค้าตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกส่วนหนึ่งแระเอาทั้งหมดมายำๆรวมๆกัน 55555 สรุปก็คือ เจอแทบทั้งหมดแหละน้องเอ้ยย มีบทท้ายๆๆๆเลยมั้งที่ตัดออก

เอาเป้นว่าสรุป ของอินเตอร์เทรดก่อนแระกัน ตัวนี้พี่เรียนกะอจ. Thasinee เป็นอจ. อินเตอร์เทรดที่ใจดีมากๆๆๆแระเข้าได้กะเด็กทุกคน เคยบ่นนอกคลาสว่าจบอีค่อนไปทำอะไรได้ อจ.ก็ทนฟัง และก็แนะนำนุ้นนี่ คือเอาง่ายๆอจ ชิลมากและน่ารักมากมาย5555 โหยย ถ้าอจ.เข้ามาอ่าน อยากบอกคิดถึงอจ.มากกกก TT เสียดายเจอ อจ.เทอมเดียว น่าจะเอาอจ.มาสอนวิชาอื่นด้วย เออ แต่ช่างเถอะ...คลาสแรกไปจนถึงมิดเทอมของวิชานี้ก็จะเรียนอะไร ที่มันเป็น theory ไปสะส่วนใหญ่ก่อน เท่าที่จำได้ก็จะมี

Absolute advantage (AA) <- อันนี้ ตัวพ่ออัมดัม สมิด เริ่มคิดเลยย555 เริ่มแรกก็จะassume blah blah มากมาย...เอาเป็นว่า สรุปได้ว่า มีประเทศอยู่สองประเทศ แระ2ปท นี้ผลิตของ สองสิ่ง (both countries produce the same products) เช่น X,Y แระนางก็เอสซูมอีกว่าให้ตลาดเป็น perfect competition แระกัน เพาะว่าถ้าตลาดอยู่ในconditionนี้ มันจะทำให้ set price = to wage payment หรือเอาง่ายๆ มันจะดูโอเคขึ้น ง่ายขึ้นที่จะเข้าใจไม่ต้องคิดมากนุ้นนี่ 5555 อ่อ แระนางก็เขียนให้ theoryนี้ว่าผลลัพสุดท้ายแล้วอ่ะนะ ถ้าประเทศเรามีความสามารถในการผลิต เช่น สินค้า X มากกว่าอีกประเทศ ให้เราส่งออกสินค้าX แระหยุดผลิตสินค้าY ส่วนอีกปทก็ทำแบบนี้แหละเพียงแต่คนล้ะ direction แบบ ให้อีกปท ผลิตสินค้าY  แระนำเข้า X

เอาง่ายๆคือ ถ้าจะดูตามหลักเหตุและผลมันอาจจะไม่ค่อยเมคเซ้นเท่าไหร่ แบบ เออ ทำไมปท กูต้องหยุดผลิต ตังหนึ่งด้วยฟร่ะ5555 แระอีกหลายอย่าง คุณอดัมก็ไม่ได้อธิบาย (หรือ ลืมคิดไป555) แระนี่คือเหตุผลที่มีนัก ศศ Ricado แย้งขึ้นมาว่า เห้ย มันไม่ใช่นะเว้ย แระถ้า สองปท นี้มัน Efficient หรือมี AAในการผลิตทั้งสองอย่างเท่ากันล้ะฟร่ะ 555 อืออ ท่านอดัมของเราเลยบอกว่า เออ งั้น ก็no trade ไปเส้... อือ ง่ายๆแบบนี้ก้ได้

ภาคต่อของสตอรี่นี้คือยังไม่จบ Ricardo ผู้นี้ นางไม่ยอม ไหนๆก็ Dedicate ตัวเองมาด้าน ศศ มาทั้งชีวิตแล้ว แล้ว นางก็เลยยอมทน Develop theory ต่อจากอดัม ซึ่ง มีชื่อว่า Comparative advantage คือไม่ให้ดูที่จำนวนการผลิต ดูที่  relative price comparison แทนไรงี้ ขอเตือนว่า คอนเซปนี้มันโยงไปอีกหลาย theory เลยดูเหมือนจะตบตีกันไปในตัว แต่จิงๆแล้ว มันซับพอร์ตกันเอง เหมือนเรามองเห็นของสิ่งหนึ่งแต่ตีความหลายแบบ 5555 เอาเป็นว่าสรุปแล้ว สิ่งที่อิตานี่ อยากบอกให้เด็กขีเกียจ2017 อย่างพวกเราก็คือ ถ้าทำตาม trade pattern ของนาง ซึ่งก็คือ ปท1 มีCAเป็นของตัวเอง แระให้เทรดกัน ทั้งหมดเนี่ย จะทำให้ (ขอเขียนเปนอังกฤษน้าา5555) Domestic country use the underused resources to be fully specialized in one production. The two countries can benefit from cheaper relative price comparing to when they make it on their own. หรือจะให้ paraphrase ทั้งหมดเลยอ่านะ ก็คือ "Let the pro do it!" 55555

ภาคเทรดยังไม่จบเท่านี้ ในเมื่อมีคน สนใจเรื่องเทรดเป็นจำนวนมาก ก็เลยทำให้มีหลาย theory ให้พวกเด็กๆเรียนกัน 5555 ท่านผู้นี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อขัดขวางโลกหรือว่าอะไร 5555 เพียงแต่นาง develop trade theory ตามยุคสมัยของนางเองจ้าาา5555 ซึ่งสิ่ง ที่นางสังเกตุเห็น ก็คือ ในแต่ละปทอ่านะ จะมี Endowment อยุ่ ซึ่งหลักๆมันก็คือ resource อ่าล้ะ นางผู้นี้แยกendowment เป็น2อย่าง 1.Capital 2. Labor ทีนี้ นางก็เลยบอกว่า เวลาป.ท.หนึ่งผลิตอะไรก็จะดู ที่endowment พวกนี้แหละ ถ้าอันใดอันหนึ่งมีมาก ก็จะทำให้ราคาของ มันถูก นางผุ้นี้เป็นใครไม่ได้ นอกจากสองคนนี้เลยย คือ Hecksher แระ Ohlin theory <3 รักพวกนางจางง 5555 เอาง่ายๆ ลองนึกถึงป.ทไทย ที่พวกเรารักดูสิ ไทยเรามี labour มากมายนักหนา เราก็จะใช้คนผลิตสินค้า เพราะค่าแรงมันถูกใช่มะ เราก็จะใช้แรงงานคน ผลิตสินค้า เช่น เสื้อผ้า แระราคาตามตลาดก็จะถูกก่า สินค้าที่ใช้ capital หรือพวก machine ในการผลิต

ส่วนกราฟต่างๆเราก้จะดูไปที่ผลของการที่มีนโยบายจากรัฐเข้ามาแทรกแซง เริ่มต้นด้วยเราจะดูที่ partial equilibrium (effects on government, seller, buyers and price and supply distortion) แระมองไปที่ general equilibrium (terms of trade )

Tariffs AND Non-tariff measurement
ต้องบอกว่าทางทฤษฏีนี้สองตัวนี้แตกต่างกันมักๆ Tariffs ที่เราเรียนๆกัน ก้จะมี Specific tariffs and ad-valorem tariffs ซึ่งเอาง่ายๆทั้งสองคือ แบบแรกคิดตามจำนวนที่ส่งออก ส่วนอันที่สองก้คิดเป็นเปอร์เซน

NTM จะเปนพวก Quotas, taxes, subsidies, technical regulations

WTO and its role
1. Non-discrimination
2. Most favor nation


International finance 
เป็นอีกตัวที่ซับพอร์ต อินเตอร์เทรดของพวกเรา ชาว ศศ. เพียงแต่แยกออกมาเพราะ อินเทอร์เทรด จะไม่เน้นตัวเลข จะเน้นไปที่คอนเซปสะมากก่า 5555 เอาเป็นว่าชื่อก็บอกอยุ่แล้วเนอะ Finance/เลข 5555 แระมีอินเตอร์ ด้วย อืมมม...ข้ามชาติกันเรยทีเดียววว วิชานี้ไม่มีอะไรมากก ใครบอกยากกส์...ให้เค้าตบปากตัวเองเด่วนี้!! 55555 อย่ามองวิชานี้อย่างนั้นเส้ 5555 เพราะวิชานี้ออกจะน่ารักดอกท็องงส์ขนาดนี้ 55555555 ป่าวหรอก... เอ้ยย จิงๆมันก้โอเคนะ กราฟ 300++ ได้ ชิฟขึ้นลงๆ 55555

จิงๆจะบอกว่า พูดไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรน่ากลัวมากก่าความคิดของเราอีกแล้วแหละน้องๆเอ่ยย 55555  วิชานี้มันก็กลางๆ ใครทวนบ่อยก็ได้ผลเองแหละ ใครหวังจะทำ พวก SET หรือ พวกบริษัท Exxon พวก MNCs ต่างๆนาๆ ตัวนี้เก็บ เอ นะน้องๆ เพราะมันสำคัญมากก ตัวนี้เป็นพวก Exchange rates หลักๆเลย แระมันจะเป็นเครื่องมือหลักที่ติดตัวน้องๆไปเพื่อ วิเคราะห์การเงินตลาดForex ได้เลยแหละ

เริ่มแรกเลยน้องก็จะได้เรียน เกี่ยวกะ Spot rate ซึ่งก้คืออัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาจุดหนึ่งอ่าแหละ เช่น เรทวันนี้ถ้าจะแลกเปลี่ยนของดอลล่าเป็นเงินไทยอยุ่ที่ 31.36789..บาท แต่ถ้าพรุ่งนี้ปุ้บเรทจะไม่ใช่เรทนี้อีกต่อไป หรือก้อย่างที่รุ้กัน มันเปลี่ยนแปลงตลอด ทำให้กำไรบริษัทที่ถือเงินสกุลต่างชาติเปลี่ยนแปลง หรือ ได้รับเงินสกุลต่างชาติแปลงเป็นไทยบาทเปลี่ยนแปลงได้ตลอด มนุษย์ที่ไม่ชอบความเสี่ยงก้เลยคิด  Forward contract ขึ้นมา

เอาง่ายๆจะใช้โดย3กลุ่มหลักๆ
1. Speculators
2. MNCs
3. Exporters and importers

นอกจากForward ก็จะมี futures แระ option แต่รุ้สึก2ตัวที่เหลือนี้จะไม่เรียนนะ ไปเจอใน MCF แทน
บทแรกๆก็จะมีประมานนี้ๆ แต่ความยากมันจะเพื่มขึ้นตามบทไปเรื่อยๆ 55555

บทที่2 ก็จะเป็น บัญชี ศศ. หรือ Balance of payments หรือ BoP อ่าแหละ อันนี้ก้จะดูความสัมพัน ต่างๆของเทรด เช่น Current account, capital account สองตัวนี้จะrecord พวก import, export, และ international finance จุดสำคัญของBoP คือ *Trade balance และ  *National reserve อันนี้ เน้นมากๆเพราะจะเอาไปใช้วิเคราะห์ อัตราแลกเปลี่ยนในระยะต่อไป

Industrial organisation

ต่อจาก คอนเซปของไมโครก็ว่าได้วิชานี้ แต่ไม่น่าเบื่อเท่า 5555 แค่มีobjective หลักตรงที่เราพยายามจะเน้นหาคำตอบว่า Why some market leads to inefficiency, by looking at its characters and types of markets exist in the world.

เริ่มแรก จะเริ่มคล้ายๆไมโครเลยแหละ ไปที่พวก Perfect competitive, oligopoly และ monopoly หลังจากผ่านสองตัวนี้ไปเราจะไปดูตลาดของ Monopolistic หรือ ตลาดที่คล้ายๆ Perfect competition และmonopoly ผสมร่างกันแต่ ต่างกันตรงที่ products are not identical, each product gets to be differentiated and firms are the price takers มันก้จะเปนมหากาพร่ายยาวไปเรื่อยๆ55555

Econometric

ให้จำว่าวิชานี้เริ่มด้วยความเข้าใจจากวิชาสถิติ (stat ทั้งหลายแหล่แห่มาเตมๆ) แต่จะเบาหน่อยตรงที่มีโปรแกรมมาช่วย แต่ๆๆๆ (หลายแต่มาก 5555) มันก้ต้องฝึกกดเครื่องคิดเลขอยุ่ดีเพราะตอนสอบไฟนอลไม่ได้ใช้คอมรันโมเดลช่วยได้ไง ตอนสอบไฟนอลสิ่งที่น้องจะเหนคือใจเหลวๆของน้องๆเอง กระดาษข้อสอบที่หนามาก (15หน้ามั้งถ้าจำไม่ผิด) แระเครื่องคิดเลข อ่อ แระก้โน๊ตที่อจ.ให้เอาเข้าได้ 5555ที่พิมไปไม่ได้ขู่นะ มันเปนแบบนี้จิงๆ แระกี่เทอมๆก้แบบนี้หมด คนที่เข้าใจคือคนที่เค้าทวนบ่อยๆ เค้าถามคำถามเวลาสงสัยไม่เก็บกักเปนเขื่อนน้ำหาคำตอบเอง เพราะเค้าเชื่อว่าเวลาเค้ามีค่า อิอิ อ่ออ หรือไม่ก้คือคนที่ไปเรียนพิเศษเพิ่ม 5555

เอาเปนว่าพี่จะพยายามเขียนว่ามันเกี่ยวกะอะไรให้อ่านแระกัน
เริ่มด้วยนี่เรยยย...
Marginal effect จำกันได้ไหมม คำนี้แปลว่าอารายย 555 มันคือหาค่าการเปลี่ยนแปลงจากการเพิ่มขึ้นมา1หน่วยช่ะ อันนี้แหละคือหลักของเศรษฐมิติ เอาง่ายๆก้คือ หลักศศ.ทั่วไปเค้าก้จะบอกว่า เช่น คนที่มีเงินเดือนเยอะก็เก็บเยอะช่ะ แต่ในเศรษฐมิติเราจะตั้งคำถามว่า ถ้าเพิ่มเงินเดือนมา เปอร์เซนๆเท่านี้เราจะเก็บเงินเพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน

หรือ ถ้าไม่เหนภาพกัน ชอบวิชามาเกตติ่งกันไหมเด็กๆ555 นักมาเกตติ่งชอบบอกว่า โฆษณาผ่านทีวีจะทำให้ยอดขายดีขึ้นเปอร์เซนเท่านี้ๆ แต่ถ้าในหลักเศรษฐมิติจะโยงคำถามไปถึง อะไรเปนปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเพิ่มได้อีก เช่น ยอดขายเพิ่มจากโฆษณาทางทีวี 15% แต่ก้มีปัจจัยโฆษณาทางสื่ออื่นๆ เช่นโฆ.ทางวิยุ Billboard ไรงี้ ทำให้ 15%นี้มันไม่น่าใช่15 หรืออาจจะเพิ่มมากก่า15%ก้เปนได้ เราจะสนใจไปทางคำถามนี้มากก่าา

หรือๆๆๆๆ ถ้าคนที่ยังไม่เกตจิงๆ เอาจิงมันก้คือ การหาสมการที่พวกแกเรียนกันในแมคโคร ไมโครอ่าแหละ เช่น  wage = 1500 + 15workexp + 2gpa ไรงี้

ทีนี้ แระมันเกี่ยวไรกะสถิติอ่าาา พี่ตอบว่า อ่อน้อง เพราะว่าเราใช้ข้อมูลในการสร้างสมการหรือ โมเดลทางศศ.ไง แระก้จะมีคำถามอีกว่า แระจะรุ้ไปทำไม ใครอยากรุ้ พี่ก้จะตอบว่า เพราะพวกแกเรียนศศ.ไง มันเลยต้องเรียน555555 แระก้จะมีคำถามยิงมาอีกว่า มันใช้ได้จิงหรอ พี่ก้จะบอกว่าอยุ่ที่ข้อมูลว่ะน้อง ถ้าข้อมูลดี มันจะใช้ได้จิงๆๆ

แระทีนี้ มีคำถามหรือสงสัยกันไหมว่าทำไมต้องโยงถึงสถิติ เราไม่ได้เรียนเกบข้อมูลหนิ พี่ก้จะบอกใช่น้อง เราไม่ได้เรียนเกบข้อมูล แต่เราเรียนวิธีวิเคราะห์ข้อมูล หลักๆเลยคือหา Variation (แปลไทยไม่ถูก) หรือ ข้อมูลเราต่างจากตัวอื่นมากแค่ไหน พิมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ยกตัวอย่างล้ะกันนะ
Variation ต่างๆก้จะมีแบบ ค่า SD. , Variance, mean ไรงี้

ข้างบนนี้อ่านแระอาจจะโอ้วว *0* โล่งอกมันก้แค่สิถิติปกตินี่ 55555 ไม่ใช่น้อง!! มันขยายร่างได้มากก่านี้ แระมันจะไปไกลมากกกกก!!! เราจะมีการหาค่า Beta, alpha, p-value, t-score, z score, standard deviation, standard errors, F-test, null-hypothesis, Durbin-watson test, white-test แระอื่นๆอีกมากมาย

แต่มันก้จะซ้ำๆแบบนี้แหละนะ แค่จะขยายร่างไปเรื่อยๆ เช่น จากหา beta ตัวเดียวในsimple regression ใน multiple regression เราจะหา beta หลายตัว ค่าอื่นก้เปลี่ยนตามไปอีกกก หรือ time-series analysis ก้จะใช้อีกรูปแบบหนึ่งเรยแหละ แระก้จะมีการสร้างโมเดลพวก co-integration อะไรงี้อีก

หลักๆนี้ เพื่อหาสมการ แระท้ายสุดตบด้วยข้อสรุปว่าสมการมันโอเคที่ใช้ได้จิงๆไหม55555

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Economic courses

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนแระกันว่า เศรษฐศาสตร์ (ศศ.) มันดียังไงและทำไมน้องๆถึงต้องเลือก ศศ. (เมเจอร์นี้คนน้อยมาก555)

ศศ. เป็นเนื้อหาสมัยใหม่ ซึ่งมีมาประมาณ200กว่าปีได้ล้ะ เริ่มมีคอนเสปคร่าวๆประมาณปี1776 โดย คุณ Adam Smith ที่เค้าเขียน "The wealth of Nation" (อันนี้ เด็กศศ.ทุกคนควรรู้นะ ไม่รุ้นี่ พี่จะตีนะ 555) คือ เมื่อเทียบกับคอนเสปทางการแพทย์แล้วเนี่ย เค้าจัดให้ Economics เป็น ศาสตร์ใหม่แห่งทางสายสังคมศาสตร์เรยนะเห่ย! โดยปกติแล้ว หัวใจของศศ.จะเน้นไปที่3วิชาหลักๆเลย (three fundamental of economics) คือ Macroeconomics, Microeconomics, และ Econometric ซึ่ง3วิชานี้จะเป็นพื้นฐานที่นักศึกษาศศ.ทุกคนจะต้องเรียนและ เอาไปใช้ในการทำวิจัย ประยุกต์ให้เข้ากับกิจการประจำวันหรือ ภาพรวมของเศรษฐกิจนี่เอง

ปัจจุบันก็มีสาขาอื่นแยกขึ้นมาอีกมากมาย เช่น Economics of labor, Economics of management, international economics แระอีกมากมาย

ส่วนตัวเลยนะ พี่คิดว่ามันต้องเข้าใจพื้นฐานและถึงจะไปต่อยอดในอีกหลายๆมุมมองอ่ะนะ เพราะฉนั้น ตั้งใจเรียนกันหน่อยแระกัน ตอนพี่จบมามีแต่คนบอกให้รับราชการ แบบกระทรวงการคลัง ไปเลยย ไม่ก็รัฐวิสาหกิจ หรือพวก แบงค์ ต่างๆนาๆ หรือไม่ก็ไปเป็นอจ.ศศ. ซึ่งถ้าไม่เจาะจงแบบนี้ งานมันก็จะกว้างมากๆๆ เมื่อเทียบกับเด็กพวก Finance, Mkt ไรงี้ เพราะจริงๆแล้ว เด็กศศ. เหมือนเรียนเพื่อให้เกตโลจิก เหตุและผล ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ๆ และสุดท้ายก็ Form conclusion หรือ คาดเดาอนาคต based on collected data ซึ่งถ้าเรียนจิงๆแล้วอ่านะ จะเห็นได้ว่า วิชา ศศ.แต่ล้ะตัว ล้วนแต่จะเป็นอะไรที่ค่อยข้าง Abstract หน่อยๆ มันจึงไม่มีงานที่ตรงๆสายแบบ เน้นๆแบบพวกบัญชี แดรกเงินเดือนเยอะๆสะใจๆ (ถ้าไม่เก่งจิง จบศศ. ส่วนใหญ่เงินเดือนน้อย) สะทีเดียว แต่ๆๆๆ ไม่ได้บอกว่าเด็กศศ. จะไม่มีงานหลังจบนะ คือ เท่าที่พี่สังเกตุมา บริษัทต่างๆ เช่น SCG, Kasikorn bank, Impact พร้อมจะรับเด็ก ศศ. เพียงแต่ น้องๆจะทำงานกะเค้าหรือป่าวเท่านั้นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ พี่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า ศศ ดีกว่าเมเจอร์อื่นยังไง 55555 เอาเป้นว่า พี่คิดว่า ถ้าน้องๆชอบ ศศ.จิง มันจะเรียนสนุกมากเลยนะ พี่เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจ มันใช้หลายtheory อธิบายได้ แต่เอาให้ตรงๆเลยก็ คือ วิชาศศ.เนี่ยแหละ อย่างเช่นดูกระทู้พันทิพอันนี้ https://pantip.com/topic/36681586 พี่ว่าคห.ที่29 เค้าก็อ้างอิงจากหลักศศ.มหภาคอ่าแหละ ซึ่งเอาจริง คนที่อ่านจะว้าวมากก (ก็คงดูเท่สำหรับเด็กศศ. มั้งงง 5555)

ถ้าจะบอกความแตกต่างระหว่างศศ.กะสายสังคม เช่น รัฐศ. (ใช้เมเจอร์นี้สะเรย)
พวกที่เรียน รัฐศ. ก้จะเกต สตอรี่สะส่วนใหญ่ แต่ของเราชาวศศ. จะใช้กราฟอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเช่น Asian crisis พวกเด็กศศ. ก็จะมีเป็นกราฟ supply and demand in FX market อธิบาย + สตอรี่รวมๆ เช่น impossible trinity มาอธิบายซับพอร์ตtheory/economic modelเพิ่ม แต่ถ้าเด็กรัฐศ. ก็จะเน้นไปที่แบบ พวกความสัมพันระหว่างประเทศ เช่น Plaza accord ที่ตอนนั้น 5ประเทศรวมตัวกันเซ็น ก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤษครั้งนั้นได้ ซึ่งพวกเด็กรัฐศ ก็จะอาจจะเน้นไปจุดๆหนึ่งมากกว่าเด็กศศ.

 เอออที่นี...และวิชาศศ.มันดียังไง? มันดีตรงที่ว่า ถ้าน้องเรียนจบ น้องจะไปต่อป.โท และเราเลือกต่ออะไรได้เยอะ จะไปต่อ ศศ. (เน้นเจาะลึกอีก) รัฐศ MBA logistic ก็ได้ สังคมก็ได้ อักษรก็ดี เพราะพี่เชื่อว่า ผ่าน ศศ มา ทุกคนล้วนมีLogical thinking อยุ่เยอะพอสมควร + น้องพอมีพื้นฐานเลข ที่พวกเด็กสังคมส่วนใหญ่ลืมๆกันไปแล้ว (สังเกตุจากประสบกาณร์ส่วนตัวเด้อ) และภาษาน้องก็โอเคอยุ่แล้ว ต่อโท เลือกที่ชอบๆ อะไรก้ได้ สบายเลยนะพี่ว่า แต่ๆ ถ้าจะให้พี่บอกว่า แระมันดียังไงตอนหางาน พี่บอกตรงๆเลยว่า มันค่อนข้าง abstract มากกก และ เนื้อหาที่เรียนๆก็ไม่ได้จะใช้ได้จริงในตอนทำงาน ใช้ได้ก็น่าจะตรงพวก Operational management พวก procurement หรือไม่ก็ต้องเน้นไปทางวิจัยหลักๆไปเลยแหละมั้ง ซึ่งข้อนี้ พี่แนะนำว่าให้น้อง ต่อป.โท นะ มันจะได้รุ้ว่า จิงๆแล้ว ศศ. Apply ยังไง มันจะเห็นภาพมากกว่า นั้งวาดกราฟแน่นอน 5555 แต่เอาจิงๆ ถ้าไม่เลือกงาน ยอมทำไป ขึ้นชื่อว่าศศ.แล้ว หลายบริษัทรับเยอะนะ อ้อออ ถ้าน้องๆจบแระไม่รู้จะทำอะไรจิงๆและก็ไม่อยากเรียนต่อ แบบ พักหน่อยๆ แนะนำให้ลองเล่น Forex ดูนะ หรือจะไปดูหุ้นก็ได้ จิงๆแล้วไฟแน้นกะ ศศ. มันก็ของคู่กันนี่แหล่ะ แต่ถ้าจะให้พี่บอกว่าไฟแน้นดีกว่าศศ.ไหม พี่คงบอกได้แต่ว่า มันเป็นศาสตร์ใหม่ที่แตกแขนงมาจากรากฐานของศศ.เรานี่แหล่ะจ้า ถ้าสนใจจริงๆแนะนำว่าให้เรียนศศ.ป.ตรีให้แม่นๆแล้วต่อโทไฟแน้น ปลั๊วๆแน่นอลล (หรือป่าวหว่าาา 5555)

ส่วนพวกที่ถามว่า เห่ยยย พี่! แระถ้าน้องจบสายสังคมมาแระจะมาต่อศศ.ป.โทอ่ะได้ไหม? พี่ตอบว่าได้!! เอาจิงส่วนใหญ่จบอะไรมาศศ. ป.โทก้รับหมดนะ มันไม่มีกำหนดตายตัวว่าต้องมาจากคณะนี้ เพียงแต่ "Are you willing to take on new challenges?" เท่านั้นเอง เพราะ ศศ.ถ้าไม่เคยผ่านตามาก่อนบอกเรยว่ายากกกส์... แต่ก้ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถหรอกน้องง ส่วนตัวที่สังเกตุมาอ่านะ ถ้าจบพวกวิศวะมาแระมาต่อศศ. ก้จะเก่งค่อนไปทางเลข คือได้เปรียบอ่ะ ในเชิงวิชาพวกสถิติไรงี้ แต่ก็จะไปเริ่มใหม่ตรงศศ.มหาภาค หรือจุลภาคแหละนะ5555 ส่วนสายสังคม หรือว่าพวกสายอาร์ตต่างๆ อันนี้ก้ต้องเข้มแข็งหน่อยเพราะเหมือนเริ่มอะไรหมด สิ่งเดียวที่น้องจะได้เปรียบคือ "สตอรี่" ที่พวกแกเรียนๆกันมา เช่น Keynes เค้าเปนนักศศ.ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ยุคdepression ไรงี้ พวกแกก้จะมองเหนภาพว่าทำไมเค้าถึงคิดแบบนี้ๆๆ ช่วงนั้นคนเปนยังไงถึงทำให้เศรษฐกิจมันแย่ พวกแกก้จะลิ้งได้แหละ (มั้งงง5555)

ส่วนด้านล่าง จะเป็นเนื้อหาของ BE ที่ MUIC แล้วกันเนอะ

BE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือ ศศ. ธุรกิจ ซึ่ง ถ้าไปดูม.อื่น อย่างของ EBA chula ทางนุ้นเค้าจะเป็นpure Economics เค้าจะไม่มีเนื้อหา หรือมุมมองของภาคธุรกิจ แบบเราๆว่าบริหารยังไง (หรือป่าวหว่า? อันนี้ไม่แน่ใจ ถ้าน้องๆคนไหนเรียนหรือมีเพื่อนเรียนอยุ่ EBA เม้นบอกพี่หน่อยน้าา ว่าพวกเค้าเรียนอะไรกันบ้าง55)

เนื้อหาที่ต้องเรียน ก็จะมี

1. Intermediate Microeconomics.
วิชานี้คือ ไมโครระดับกลางที่จะเป็นเนื้อหาต่อจากตัวก่อน (Microeconomics 101) เนื้อหาค่อนข้างจะคล้ายๆกัน เพียงแต่ที่มันเรียกว่าระดับกลางนี่เพราะมีเลขปนเข้ามาเยอะหน่อย เนื้อหาเริ่มแรกเลยนะอย่างที่เคยบอกไว้ เราจะเริ่มที่ Demand side ก่อนเสมอ และเริ่มขยายภาพให้กว้างขึ้นไปจนถึง Supply side และเอาสองตัวนี้มาหาจุดตัดกันในตลาด (equilibrium) ซึ่งจุดนี้แหล่ะมันเรียกว่า market mechanism ที่จะสะท้อนราคาตลาดของตอนนั้น

Demand side ก็จะดูที่พฤติกรรมของผู้บริโภค มองที่การคนคนหนึ่งชอบของอะไรอย่างหนึ่ง ต้องจ่ายเท่าไหร่ (Preference) และโยงคอนเซปนี้ไปถึงการกำหนดราคาสินค้า (Pricing theory)

อันนี้เขียนเผื่อๆไว้ใครเข้ามาอ่านหน่อยแระกัน คือตอนเรียนเนื้อมันค่อนข้าง Abstract มากมาย (เอาจิงขึ้นชื่อว่าอีค่อนก็กำกวมหมดอยู่แระ5555) เอาเป้นว่าพี่จะเขียนให้เยอะเท่าที่พี่จำได้ล้ะกัน เผื่อเด็กศศ. และ เด็กไฟแน้นคนไหนอยากลงจะได้ดูว่าน่าเรียนไหม 

เริ่มแรกด้วยเลยคือ Assumption ที่ชาวอีค่อนให้ความสำคัญมากเพราะ ถ้าขาดอันนี้ Theory ต่างๆมันจะไม่เมคเซ็นทันที 5555 โอเค อย่างแรกเลยคือ เค้าแอสซูมว่าโลกใบนี้มีของแค่สองอย่าง เอาง่ายๆ ถ้ามันมีหลายอย่างจะวาดกราฟยาก เพราะกราฟอย่างมากเลยมันมีได้3ตัวแปร (X,Y,Z) จำง่ายๆเลยคือในโลกมี 2อย่าง ในกราฟเราจะได้มี2แกนหลัก 

บทแรกคือส่วนของ Utility หรือความพึงพอใจของผู้บริโภค อย่าลืมว่าคนอีค่อนสมัยก่อนไม่สามารถเข้าใจความพึงพอใจของทุกคนได้ ในเมื่อคนหนึ่งบอกว่าชอบอันนี้มากกว่าอันนู้น แต่พอผ่านไป เอ้าอี่คนนี้ชอบอันนุ้นมากก่าแระ มันค่อนข้างมี Error เยอะเวลาเราเอาข้อมูลมาทำวิจัยอ่ะนะ เอ่า..ล้ะทีนี่จะทำยังไงให้มันง่ายขึ้นล้ะ -- แท้๊นแท้นน ก็เรียงลำดับมันสะเลยสิ ใครชอบอะไรมากกว่ากัน เรียงเอาเลย 1 2 3

อ่าคง งง ล้ะสิว่าทำไมต้องเรียงลำดับ อย่างที่บอกไปเนอะ ในการที่ชาวอีค่อนทั้งหลายแหล่จะลดError จากการเอาข้อมูลมาทำวิจัยเค้าต้องเมคชัวว่า ไม่มีมันไม่มีความ"Bias"ในฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้ เค้าเลยเออออ เรียงเอาเลยล้ะกัน แระอีกสาเหตุหนึ่งคือเรื่องของ Monotonic transformation คือการเรียงลำดับความชอบ ประมานว่ามันสามาารถคงรูปลำดับได้เมื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นฟังชันต่างๆ จะเปลี่ยนไปแบบไหนก็ยังมีผลของข้อมูลเดิมอยุ่ดี อันนี้ใครไม่เชื่อลองไปค้นเพิ่มล้ะกัน 

อ่ะ ต่อๆๆ เสร็จจากตรงนู้นเราก็จะมาต่อกันด้วย การหาUtility function (U) ก็ไม่มีอะไรมาก ดิฟกระจายเพื่อพิสูจนู้นนี่ แต่ๆ พี่จะอธิบายให้ง่ายๆล้ะกันว่าดิฟไปทำไม เราดิฟUtility fn เพื่อหา MRS (Marginal rate of substitution) หมายควายว่า เราต้องการหาจุดบนเส้นU ที่คนๆหนึ่งต้องการแลกของอย่างหนึ่งไปเป็นอีกอย่าง เช่น เรามีM and M เยอะ แต่เราขาด Mars,  MRS จะบอกว่าเราพร้อมจะแลก MnM กี่ถุงเพื่อจะได้ Mars เพิ่ม (พอเกตกันไหม555) ทีนี่เพื่อที่จะวาดที่บ่นไปเมื่อกี้บนเส้นกราฟใช่มะ ชาวอีค่อนก็เลยบอกว่า Shape of Utility curve อ่ะ มันน่าจะ "Convex to the origin given that the goods are good" นะ หรือเอาง่ายๆมันคือตัวUที่เฉี่ยงขวาบนกราฟ

**อย่าลืมว่า Maginal คือ small change นั้นคือเหตุผลที่เราต้องดิฟ เพื่อหาจุดเปลี่ยนในฟังชัน เราจะมานั้งหาเองก็ไม่ใช่ เพราะฉนั้นถึงตรงนี้แล้วใครไม่เข้าใจ ก็นะ ดิฟเห้อออ 5555

ต่อมาก็หา optimal bundles (ขอบอกเลยว่า ถ้าจะหาอะไรๆที่มัน optimal ใน ศศ.เนี่ย ส่วนใหญ่คือหาจุดตัด 5555) โดยหา Budget line แระหาจุดตัดกะเส้นของU  และมองลึกขึ้นไปอี้กกกถึงคุณลักษณะของตัวของสินค้า (normal goods, inferior goods, substitution, perfect substitute .... และหา optimal bundles) -- เหนื่อยเนอะ 5555 เด่วมาต่ออ

2.Intermediate macroeconomic
ต่อเวรต่อกรรมด้วย เมคโครระดับกลาง ขึ้นชื่อว่าระดับกลางแล้วอย่างที่บอกไปไม่พ้นเลขจ้าา 5555
พี่ว่าเอาจิงๆนะตัวนี้ มันควรจะเริ่มก่อนพื้นฐานของเมคโครสะด้วยซ้ำ มันดูเข้าใจมากกว่า 555

เมคโครก็จะเริ่มด้วยว่า มันแตกต่างจากไมโครยังไง อจ.เค้าก็จะพูดประมานว่า เมคโครจะมองมองภาพรวมของเศรษฐกิจ ถ้าจะหาข้อแตกต่างกะไมโคร ก้อย่างเช่น ถ้าพูดถึงเรื่องราคา เมคโครจะโยงไปดูที่เรื่องของ inflation แต่ถ้าไมโคร ก็จะเป็นเรื่องของการตั้งราคา (Pricing theory) ถ้าไป Supply side ไมโครจะมองไปที่utility แต่แมคโครจะมองที่ output (Y) หรือ GDP นั้นแหละ พอเกตไอเดียมะ คือแมคโครจะมองมุมกว้างๆๆ ออกแนวมองเป็นประเทศเป็นประเทศไป ส่วนไมโครจะเป็นมุมมองของภาคธุรกิจ/เอกชน หรือพวกครัวเรือน (households)ต่างๆ และ อจ.ก็จะพูดอีกว่า แมคโครมันใช้พื้นฐานของไมโครมาเพิ่มเป็นเนื้อหา (Rely on microeconomics foundations) อ่ออ...แระ ยังจำได้ไหมจำได้หรือป่าวว 555 พี่เคยบอกแล้ว ว่าเมคโครเนี่ย จะโฟกัสไปที่ Internal&External balance เมคโครระดับกลางของที่มูอิคเลยเน้นไปที่internal bal.ก่อน external bal. จะไปต่อกันตอน inter fi

และภายใน10นาทีนี้ก็อจ.ที่พึ่งพูดชิลๆว่าไมโครและเมคโครต่างกันไงก็จะเริ่มบทที่1 5555 ซึ่งไม่น่าจะหนีพ้นเรื่อง Labor market -- อันนี้จะเป็นตลาดที่ดูเรื่องของ unemployment
Production function
Money market (market of loan able funds)

อ่อ อีกอย่าง เรียนอีค่อนเราต้องเรียนให้เป็น ซึ่งพี่ได้จับกึ่นว่าเวลาเรียนเมคโครส่วนใหญ่จะไม่พ้น Aspects ของโมเดลตามยุคต่างๆ (classical, Keynesian, monetarist etc.) พวกนี้จิงๆ นั้นก็คือ
1. notions of price (assume fixed vs flexible price)
2. Role of government (fiscal/monetary policy for market intervention? Effective or not)
3. Time frame -- short run to long run
4. Market structure ex. Perfect market  monopoly
5.Variables (Real vs nominal variables)

เช่นในยุคclassical (Adam smith) เค้าจะเชื่อใน flexible price, no government intervention or if there is intervention, it should be from fiscal policy (effective in long-run)


Monetary policy
นโยบายการเงิน หรือ แมคโครภาคต่อจาก intermediate ก็ว่าได้555 (จิงๆเนื้อหามันไปด้วยกันนะ) อันนี้จะเป็นเกี่ยวกับรัฐบาลแระนโยบายการเงินของรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความต่างของนโยบาลการคลังกะเงิน มันเป็นอะไรที่ต่างกันมาก นโยบายการเงินจะมองไปที่การจัดการปัญหาหลักๆของมุมมองในภาคแมคโคร เช่น inflation, exchange rates, trades etc. ส่วนการคลังจะเน้นไปที่การ allocation of  government's budget to society เช่น พวกภาษี อะไรพวกนั้น

Public economics
มันคือ Wealth fare economic and government choice... เน้นไปที่รัฐบาลสะส่วนใหญ่ โดยเน้นวิเคราะห์ผลจากนโยบายพวก Tax หรือ Externality ตัวนี้อจ. เปิ้ลสอน ใจดีมากกกกกก (น่ารักด้วย คือเค้าสอนเข้าใจมากๆ) แถมส่วนใหญ่ก็กินเอ กันไปตามๆกันเพราะ เหมือนอจ.ช่วยจิงๆนะ 5555 ถ้าอยากรุ้ว่าเรียนเกี่ยวกะอะไรคร่าวๆก็จะไม่พ้นอะไรนอกจากดูเรื่องของดีมาน และ ซับพราย 5555 เริ่มด้วย Concept of Edgeworth box คือรวมเส้น Utility ของคนสองเข้าด้วยกันเพื่อหา General equilibrium ซึ่งก็หนีไม่พ้น เส้นอีสองอันนี้ Tangent กันแระกันอ่านะ 5555 แต่ทีนี้ใน edgeworth box มันดันมีได้หลายเส้นที่optimal ไง นัก ศศ เลยเออ ไหนๆมันก็ bachelor of artsแระ ลากเส้นเม่งสะเลย 5555 เส้นนี้เลยเรียกว่า Contract curve พอได้เส้นนี้แล้วก็ เออ อะไรที่อยุ่บนเส้นนี้นะมันจะ optimal นะว่อยย 5555 และๆๆ เอาอันนี้แหละมาวาด ด้านซับพราย หรือสร้าง Production possible frontier หรือหา resources allocation เอาจิงๆไม่ยากมาก มีความคล้าย utility curve แต่กลับด้านกัน 5555

พอเสร็จแล้วช่ะ ก็เอาคอนเซปสองอันนี้มายำรวมตัวกัน แระตู้มมม เกิดเป็น คอนเซปของ Government's outputs distribution หลักๆเลยก็คือทำยังไงให้แฟร์ ใครเกตเรื่อง income distribution บ้างไหมมมม ก็นั้นแหละ เราเรียนตัวนี้เพื่อทำให้ ช่องระหว่างคนรวยกับคนจนไม่ห่างกันมากเกินไป

พอเรื่องนี้ผ่านไปก็จะเรียน ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ไม่เกิด Economic efficiency ซึ่งก็จะครอบคุมไปตั้งแต่ externality, public goods, private goods และก็น่าจะมี Economic of information (asymmetric infor, market of lemon (มีป่าวหว่า จำไม่ได้555)) เอาเปนว่าหลายๆอย่างไม่ได้ยากมาก อจ.เปิ้ลสอนดีอยุ่แล้ว ไม่เข้าใจอะไรก้ไปถามแกได้ แกชอบให้คนถาม 5555


Business administration course: เนื้อหาManagement MUIC

2. จะเป็นเนื้อหาของ Management ก็จะเป็นเนื้อหาที่สอนเกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจ
หลักสูตรใหม่ตอนนี้ น้องๆจะเจอทั้งหมด 60 เครดิต ซึ่งแต่ล้ะวิชามี4 เครดิต
น้องก็จะต้องเจอ วิชาเรียงกันตามนี้เด้อ...

Microeconomics 
หรือ เศรษฐศาสตร์จุลภาค ที่ทำผู้คนมึนงงไปนับหลายเทอมผู้นี้นี่เอง
ตัวนี้ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญมากๆของเมเจอร์ BE พวกเราเลยทีเดียวนะ พี่แนะนำว่า น้องๆตั้งใจเรียนเถอะ 55555
สิ่งที่ไมโครเน้น ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ บุคคลคนหนึ่ง(ที่Assume ว่าเป็น Optimized person) และค่อยๆขยายภาพออกไป ถึงมุมมองภาคธุรกิจของ private enterprise โดยก่อนอื่นก็ต้องพยายามเข้าใจว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงมีความต้องการ (Demand) และความพึงพอใจที่เขาได้รับต้องได้เท่าไหร่ถึงจะโอเค (Utility)และขยายคอนเสปนี้ไป ถึงภาคธุรกิจ โยงกระทั่งไปถึงภาครัฐ ซึ่งเกี่ยวเนื่อง กะคอนเซปเช่น พฤติกรรมของผู้บริโภค (Customer behavior)และการลดต้นทุน หรือ คุ้มทุน (Optimization)  กราฟที่น้องๆจะเจอก็จะมีพวก สร้างเส้นDemand, Supply curve + พฤติกรรมของผู้บริโภคโดยใช้กราฟอธิบาย ก็จะมีคอนเซปที่เน้น พวก Diminishing marginal utility
และก็อีกอย่างที่ต้องเจอก็จะมี พวกนโยบายรัฐต่างๆ แบบ price floor โดยการใช้กราฟชิฟขึ้นๆลงๆ ซึ่งก็แอบจำๆหน่อยเนอะ
อันนี้ขอแนะนำ!!! ถ้าภาษาไทยไม่สตรอง อย่าได้ไปอ่านหนังสือภาษาไทย 5555 เจอมากะตัวแล้วครัชทุกท่าน มึนไปกว่าเดิมมม ทางที่ดีที่สุดนะ ทบทวนอ่านตามใหนังสือ และถามอจ. ง่ายกว่าเยอะ บางทริคที่จำได้ง่ายๆ ก็หาดูตาม ยูทูปได้ (แปะลิ้งให้ https://www.youtube.com/user/ACDCLeadership อันนี้ บอกเลยว่าเป็นช่องที่ดีมาก ช่องหนึ่งเลยแหละ อจ.สอนกระชับแล้วเข้าใจมากๆ บางทีดีกว่าอจ.ที่สอนด้วยซ้ำ 5555)

วิชานี้ ปัจจุบันสอนโดย Aj. Pandej กับ Aj. Varang
ตอนพี่เรียนเจอ อจ Pandej ขอแอบรีวิวหน่อยแล้วกัน
คือ อจ แกเป็นคนที่สอนมึนๆหน่อยนะ ก็ต้องตั้งใจเรียนหน่อย อย่าได้ไปเผลอทำตัวชิล เพราะบอกเลยว่ามันจะชิลมากๆๆๆ (จะมีช่วงที่แกปล่อยก่อนเวลาไรงี้) พอมิดเทอมเท่านั้นแหละ เม่งเอ้ยยย นรกกกมากก 55555 ส่วนอจ อีกท่าน ไม่เคยได้เรียนเลยไม่รู้ว่าเค้าสอนเป็นไง แต่เพื่อนพี่ที่ลงกะเค้า ก็บอกโอเคกันบางส่วน บางส่วนก็ไม่โอเคนะ เพราะฉนั้น พี่ว่าอยู่ที่ตัวคนเรียนแล้วแหละต้องตั้งใจ ฮึบๆๆหน่อย ฮ่าๆๆ

Macroeconomics
จบไปแล้วกับจุลภาค คราวนี้ก็มามหาภาค (ศศ นี่ไม่จบไม่สิ้น)
วิชานี้ก็จะเป็นวิชาที่เบิกเนตร เอ้ย เปิดตาน้องๆให้กว้างๆๆมากๆๆ เพราะจุดสำคัญของวิชานี้คือ มอง เศษฐกิจแบบภาพรวม ก็จะมีtheoryเกี่ยวเนื่องกับการจัดการปัญหาต่างๆของเศรษฐกิจ โดยทางเนี่ยนะ เค้าจะมีเครื่องมือ แบบพวก indicators ที่ใช้วัดภาพรวมของเศรษฐกิจเรยหล่ะ พวกเครื่องมือนี้กะ เช่น GDP, inflation, national income, unemployment rate, financial market บลาๆๆ เอาง่ายๆ ถ้าอยากเก่งวิชานี้ให้ฟังข่าว จะช่วยได้หน่อยๆ ฮ่าๆๆ ถ้าอยากเก่งจิงจัง นู้นเลยย ฝึกกราฟชิฟขึ้นลงบ่อยๆ (มีอยู่ประมาณ 40 กราฟได้มั้ง) ขอแนะนำว่าต้องมีสตินะน้อง สติ!! แกจะไปนั้งจำๆไม่ได้นะว่อย ต้องมีกระดาษแระก็วาดกราฟ ฝึกชิฟขึ้นๆลงๆ มันต้องเขียนจิงๆ เพราะท้ายสุดมันอาศัยความเข้าใจ 55555

**ท่องไว้ ที่น้องเรียนตัวนี้รู้สึกจะเป็น internal balance นะ ซึ่งโพกัสไปที่ประเทศเดี่ยวๆ แต่ถ้าระหว่างประเทศจะเป็น External balance เด้ออ

ส่วนใหญ่ เนื้อหาที่เรียนจะเป็นทฤษฎีตามยุคเก่าๆ เช่น Classical, neoclassical  ซึ่งพวกแกก็คงเกิดไม่ทัน (เอาจิงพี่ยังเกิดไม่ทัน) เนื้อหาส่วนใหญ่เลยมักจะ "Relate" กับปัจุบันยากมากก แต่บอกเลยว่ามีประโยชน์นะว่อย เพราะมันทำให้เข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจ ลองคิดดูแกจะทำธุรกิจกันได้ไงถ้าไม่เข้าใจว่าอัตราเงินเฟ้อปีนี้เท่าไหร่ๆๆ จำๆไปก็อาจจะไม่ได้ใช้ ซัฟเฟอร์คะแนนต่างๆนาๆ (พี่ก็ผ่านมา been there, done that) เอาจิงๆสุดท้ายแล้ว ดีโครต อย่างน้อยก็ฟังข่าวเข้าใจขึ้นนะเห้ยย

ตอนพี่เรียน พี่เรียนกับอจ.นุ๊ก (Aj. Ratthakarn) ตอนแกสอนก็แอบชิลๆนะ พี่อ้ะเข้าใจทุกอย่างที่แกสอนจิงๆ แต่ไม่ได้ทวนไง ซึ่งความนรกของวิชานี้คือ มันไปเน้นสอบ แบบมิดเทอม 45% กับไฟนอล 45% รวมกันได้ 90% อีก10% นี่คือเช็คชื่อจย้าา TT
ส่วนใหญ่ก็ตายๆไปตามเวรตามกรรมกัน ฮ่าๆๆ  (โน๊ตๆหน่อย เอาจิง มีรุ่นพี่บอก เห้ย เค้าช่วยๆๆ แต่เอาจิงก็ไม่ได้ช่วยไรมากนะ ออกกแนวใจดีมากกว่า คือถามอะไรแกช่วยไง55555)

*** ส่วนประเด็นยอดฮิตชอบถามว่า ลงจุลหรือ มห ก่อนดี พี่แนะนำว่าลงอะไรก่อนได้ มันไม่ได้แตกต่างมากหรอก (เหี้ยพอกัน 5555) เพียงแต่ที่หลายคนชอบบอกว่าต้องลงนี่ๆก่อน

คือยังงี้ ถ้าลงจุลภาคก่อนใช่มะ มันก็จะได้เห็นภาพแบบจุดเล็กๆ คือเข้าใจที่มาที่ไป แล้วไปเน้นจุดภาพรวมที่มหภาคทีหลัง ถ้าถามว่าจำเป็นไหมว่าต้องลงจุลก่อนไหม ส่วนตัวพี่ว่า ถ้าจะให้เซฟไว้ก่อน ลงเป็นจุลภาคก่อนก็ได้ (ม. บางที่เค้าให้ลงจุลภาคก่อนไง) 

***แต่ๆๆๆจะบอกว่าถ้าใครลงมหาภาคไปก่อนจุลแล้ว กะไม่ต้องตกใจนะ สตอรี่ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกันกะจะมีแค่บางบท เช่น การสร้างเส้น demand กะ supply งิ ส่วนคอนเซปของมหภาคกะจุลภาค เช่น ถ้าพูดถึงเรื่อง "PRICE" ในมหภาคเราจะมองไปที่นโยบายของรัฐ แบบ attracting investment (ถ้าเปนรูปแบบกราฟกะจะมีพวกเส้น AD, AS) สุดท้ายจะเกิดเป็น inflation อะไรแบบนี้ได้นะ แต่ถ้ามองที่จุลภาคแล้ว เราจะมองไปที่นโยบายของรัฐที่กำหนดให้ราคาตลาดของสินค้ามัน สูงหรือต่ำลงได้จ้าาา (ถ้าเอาคอนเสปกะจะมีพวก price floor, price ceiling) เพราะฉนันมันต่างกันในตัวของมันเองอยุ่แล้วเด้ออ ใครไม่เกตภาพที่เรียนจากจุลภาคมา ส่วนตัวพี่มองว่า ตินเรียนมันไม่ได้ใช้คอนเสปซ้ำกันขนาดนั้น ก้เรยบอกว่าน่าจะลงวิชาไหนก่อนกะได้เด้อ

Fundamental Accounting
อันนี้ เบสิคบัญชี ไม่ยากมากก Debit, Credit ลงช่องถูกก็จะ balance วิธีเขียน Statement of income ไรงี้ก็มา ซึ่ง ถ้าน้องอยู่สาย ศิลป์คำนวณตอน ม.หก ก็น่าจะได้เรียนอยู่บ้างเนอะ (หรือป่าวว่ะ)

เอาจิงหัวใจของวิชานี้คือ ความเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจพื้นฐาน ก็จะทำได้ แต่ก็ต้องฝึกด้วยนะ ไม่ใช่ปล่อยไว้เฉยๆ เพราะมันสำคัญกะวิชาอื่น โดยเฉพาะเด็กFinance ทัั้งหลาย

ส่วนวิธีการตรวจของ อจ นั้น ก็จะดูว่าเราผิดอะไรและหักเป็นพาร์ทๆไป (ส่วนใหญ่หักไม่เยอะ)ไม่ใช่อย่างที่เด็กบางคนเข้าใจว่า ถ้าผิดจุกหนึ่งก็ผิดหมด (มีงี้จิงๆ)

อจ. วิชานี้โดนเปลี่ยนใหม่หลายต่อหลายนัดแล้ว ตอนพี่ลง พี่ลงกะอจ.Kelly อจ.ผู้ญ ต่างชาติที่สวย และใจดีมากกกะเด็กมากก เลี้ยงพิซซ่าถ้าเซคนั้นได้คะแนน มิดเทอมดี แต่ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว ก็ใจล่มๆกันไปเนอะ น้องๆ ฮ่าๆๆ

Managerial accounting
ต่อเวรต่อกรรมจากบัญชี1 ก็เรียกว่าได้ แต่วิชานี้ โอเคอยู่ ครูสอนใจดีมากก จำไม่ค่อยได้ว่าเรียนอะไรไปบ้าง เพราะนานมากแล้วว จำได้แต่อจ Berry ช่วยโครตๆ และมีตอนหนึ่งพี่ไปถามเค้าก่อนสอบ เค้าก็อธิบายสะจนเข้าใจเรยย แฮปปี้นะเอาจิงวิชานี้

Principle of marketing
เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานวิชาสำคัญของเด็กมาเกตติ่งเลยก็ว่าได้ เพราะวิชานี้จะครอบคลุมมากกกกก ตอนมิดเทอมนี่ จำแล้วจำอีกกก เนื้อหาก็ดูเหมือนจะคลุมเคลือหน่อยๆ เพราะมันต้องอ่านเคสแล้วประยุกใช้

ขอบอกว่า หลักการตลาดกะหลัก ศศ.จุลภาค บท consumer behaviors นี่ต่างกันสิ้นเชิง การตลาดจะสนุกตรงที่ว่า Apply กะเคสได้ คือเรียนแล้วเห็นภาพ แต่ถ้า ศศ. จะเป็นการสร้างกราฟ การสร้าง possibilities ต่างๆนาๆ ซึ่ง ค่อนข้าง Abstract อยู่ในตัว ต้องการความเข้าใจในระดับหนึ่งถึงจะ Apply ได้

มาเกตติ่งส่วนใหญ่ตอนเรียนแล้วสนุ้กสนุกกกก แต่พอ สอบเท่านั้นแหละ ความสนุกหายเกลี้ยงงง 5555
ตัวนี้พี่เรียนกับอจ. Apiradee อจ.เค้าใจดี้ ใจดี ตอนสอนก็ตามสไลด์เลยอ่ะซึ่งหลายคนเลือกโดด แต่พี่ไม่ได้โดด บอกเลยอจ.เค้าให้อะไรมากกว่าที่อยู่ในสไลด์เยอะ เพราะฉนั้น เข้าสะเด็กๆ

Business Communication
ตัวนี้ไม่ได้เรียนแต่เท่าที่ถามๆจากรุ่นน้องหลายๆคนมา เค้าบอกเรียนเกี่ยวกับการเขียน จดหมายธุรกิจ (แอบคล้าย EC) ซึ่ง ก็จะมี Pattern+ Structure ต่างๆนาๆให้จำก่อนสอบและก็เข้าไปเขียน

อจ วิชานี้ ไม่รู้จักเลยจิงๆ แต่จำได้ว่าเคยได้ยินเล่าว่า ครูที่เป็นคนจีนสอน

Management and organisational behavior (MOB)
อันนี้ตอนพี่เรียนไม่ได้มีอยู่ในหลักสูตรพี่ ซึ่งอันนี้มันเป็นวิชาใหม่ที่พวกน้องจะได้เจอ ตอนพี่ก็จะเรียนเป็นสองวิชา คือ Human resource management (HRM)กับ essential management (EM) แต่วิชา MOB นี้เหมือนเค้าหมั่นเขี้ยวเด็ก เลยเอาเนื้อหาของสองวิชาที่พี่เจอนี้ยัดเข้าไป แล้วก็ บูมมมมม เกิดเป็น MOB 5555

เอาเป็นว่าพี่จะบอกเกี่ยวกับ สองวิชาที่พี่เรียนล่ะกันเนอะ
เริ่มด้วย EM ก่อนแระกัน วิชานี้ก็จะสอนการจัดการธุรกิจ แบบพื้นฐานเลยจิงๆ จะมีรวมหลากหลายแนวคิดจาก Theory ต่างๆ  บางทีก็จะมีเคสให้พรีเซน (แต่ ชิล) งานกลุ่มไปให้สัมพาษบริษัท ว่าเค้าจัดการปัญหาที่เจอยังไง เช่น ลูกค้าไม่เข้าเพราะ Location ก็ต้องเสนอ Recommendation ที่เบสิคหน่อยๆ (อันนี้ จะไม่ได้เน้นไปที่การจัดการปัญหา เน้นแค่การจัดการแบบภาพรวมขององค์กรเนอะ) อ่อ อจ ไมค์ (Micheal) สอนดีมากจิงๆๆ
ส่วนวิชา HRM ก็จะเป็นเนื้อหา การจัดการคนในธุรกิจให้เกิดผลประโยชน์ที่สุด ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ Concept จาก EM ที่บอกว่า Put the right man to the right job ไรงี้ นอกจากนี้ น้องๆก็จะมุมมองต่างๆจากโลกาภิวัตน์ที่เป็นปัจจัยให้ธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  แบบ การจัดการวัฒนธรรมองค์กรณ์จากยุคสู่ยุค การจัดการบ.ต่างด้าวต่างๆซึ่งเราจะจัดการยังไงกับคนหลากหลายประเภท หลากหลาย culture in different countries โดยรวมๆแล้ว อจ. แก้ว หรือ อจ Malinvisa ที่ ผมยาวๆสวยๆ และใจดี ช่วยๆเด็กอ่ะ 5555 โดยรวมๆแล้วก็แอบชิลอยู่ จะไปยากก็ตรงสอบนี่แหละหน่ออ

ส่วนอจ วิชาใหม่ MOB จะเป็นอจ.ต่างชาติ สอนโดย อจ.Jesper ซึ่ง ได้ยินจากปากรุ่นน้องหลายต่อหลายคนว่าโหดๆๆๆมาก พี่ก็ไม่รู้ว่าโหดจิงไหม เพราะพี่เองก็ไม่เคยได้สัมผัส ฮ่าๆๆ แต่ เห้ยยยย เห็นบ่นๆกันหลายคน สุดท้ายก็ได้ บี บีบวก เอ อะไรกันทั้งน้านนนนะเว่ยย

Computer Usage Skills
วิชานี้จะเรียนเน้นไปที่คอมพิวเตอร์ เวลาตอนเรียนก็ต้องไปห้องคอมเน้ออ ใครไม่มีคอมส่วนตัวไม่เป็นไร ใช้คอมที่มหาลัยได้ แต่ก็ต้องหมั่นฝึกหน่อยนะ เพราะวิชานี้ตอนพี่เรียนพี่ว่ามันเอาไปใช้ได้ตอนทำงานเลยแหละ เพราะว่าวิชานี้จะเรียนเกี่ยวกับการใช้ Microsoft Office นั้นเอง เน้นไปที่ Microsoft Excel, Asset ไรงี้ พื้นฐานการเขียนโปรแกรม แบบ HTML ก็เรียนจากที่นี่เหมือนกานนน

อยากจะฝากว่าใครที่ทำExcel เป็นอยู่แล้ว สบายๆเลย สิ่งที่จะเจอและมันหนักก็คือการตีโจทย์และพิมพ์ใส Excel พวกแกก็จะต้องใช้สูตร เช่น =sum, =if  อะไรอีกมากมาย ในการทำงานส่ง

เอาเป็นว่าสิ่งที่พวกแกจะเจอก็ไม่มีอะไรมากหรอก เอาจิงๆมันเรียนExcel แบบเบสิคมากมาย 5555 ไปโหด ตรงตีความโจทย์มากกว่า อ๋อ แล้วอจ. Veera สอนวิชานี้ แกก็ใจดีมากเลยนะ ไปถาม หรือมีข้อสงสัยอะไร เค้าพร้อมตอบมากมาย 5555 ตอนพี่เรียน ตอนไฟนอลจำได้ว่าทำไม่ได้เลย คือ โจทย์มันมั่วมาก เพราะตอนนั้นมีอจ.สองคนสอน ทำให้เนื้อหาที่ออกตอนไฟนอลออกไม่เหมือนกัน (อจ.อีกคนไม่รู้สอนหรือป่าวนะ เค้าชื่อ อจ. Poramin) ก้คือเซคของพี่อจ.ไม่ได้สอนในห้อง ไฟนอลข้อนั้นก็เลยหายไปเลย5คะแนนจาก100 ซึ่งตอนนั้นออกจากห้องสอบมา 2ทุ่มได้ หน้าซึดกันเป็นแถว 5555 แต่ไปๆมาๆเกรดออก ก็แฮปปี้กันเป็นแถวเหมือนกัน 5555

Business Law
หรือ กฏหมายธุรกิจ วิชานี้เป็นวิชาที่พี่ว่า ตอนเรียนนี่ชิลสุดๆในสามโลก เพราะ มันไม่มีมิดเทอมและมันไม่มีงานส่ง (อาจจะมีเล็กๆน้อยๆ แต่ทำแบบปั่นช.ม.เสร็จได้) ควิสมีนิดหน่อยแต่ ไม่ได้เก็บเยอะขนาดนั้น บางคนแอบลอกกันยังได้ (บอกให้ทำชั่วป่ะนี่5555) และเด็กส่วนใหญ่ก็จะเอาเวลาไปทุ่มอ่านหนังสือตอนมิดเทอมก่อน หรือไม่ก็ไปทำเคสของเอสเอ็ม(SM)ก่อน (เจอเพื่อนบ่นมา) พอจบทุ้กอย่างงก็จะขี้เกียจทบทวนวิชานี้..

แต่ๆๆๆ น้องๆทั้งหลาย เจ้าจงตาสว่างและอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆเพราะ ไฟนอลวิชานี้ 70% ครัชทุกท่านน เรียกว่า โหดเฟ่อออ!! ใครตกไม่ตกนี่ คือ ตัดกันที่ไฟนอลนี่แหละ

ขอรีวิวนิสๆแระกาน ไหนๆก้ไหนๆล้ะ
คือวิชานี้ชื่อก็บอกแล้วว่ามันคือ กฏหมาย พวกเราก็จะเรียนเกี่ยวกะกฏหมายในมุมมองของภาคธุรกิจ เช่น การลงทุน สิทธิของบุคคล สัญญาซื้อขาย เป็นตัน อันนี้ไม่ต้องจำมาตราทั้งหลายแหล่ไปสอบ (แต่ตอนสอบให้ยกมาตรามาประกอบกะเหตุผลนะ) ขอแค่ใช้หลักเหตุและผลเชื่อมโยงไปกะเคสที่เค้าให้ก้พอ ซึ่งแตกต่างจากพวกที่เรียนนิติสิ้นเชิงโดยเค้าจะจำกฏหมายเป็นมาตราๆไปสอบและเจาะลึกลงไปทีละข้อๆ อันนี้ตอนเรียน พี่ไปปรึกษาเพื่อนที่เรียนนิติ คุยกันไม่รู้เรื่องจิงๆนะน้อง เพราะเด็กนิติก็จะมีแนวคิดของเค้าอ่ะ ส่วนพวกเราก็ต้องงมคิดตามเค้าให้ได้ 55555

วิชานี้พี่ลงเรียนกะอจ. Arthit ที่เค้าสอนวันเสาร์อ่ะ (ได้ข่าวว่าสอนวัน ศ. แล้ว?) คือ อจ.ท่านนี้ก็จะสอนรวบยอดไปเบย 4ช.ม. (8-11.50 am) มีการเช็คชื่อทุกครั้งนะ ควิสก็มีแต่ชิลๆ เค้าไม่บอกคะแนนด้วยนะ (เหมือนช่วยแหละ) แค่คนที่ได้ไม่ดีเลยจิงๆเค้าจะเรียกไปคุยซึ่งก็มีไม่กี่คนอ่านะ แบบ สองสามคนไรงี้ พี่ขอบอกเลยว่า ลงกะอจ.อาทิตย์คุ้มมากกกก มันจะเป็นเช้าวันเสาร์ที่น้องตื่นมาแระรู้สึกว่า เห้ยยยย...อยากเรียนกฏหมายจุงงเบย5555 ไม่หรอกกกก...จิงๆที่คุ้ม เพราะเค้าจบกฏหมายโดยตรงเลยแหละ และ แบบว่าเค้าทำงานเห็นภาพ ผ่านคดีมามากมาย เล่าให้นักเรียนฟังได้ว่าอะไรคืออะไร พ.ร.บนี้ใช้ยังไง บางทีก็ยกเคสมาด้วย (ซึ่ง เหมือนเค้าบอกแนวไฟนอล) และเราเอาสิ่งที่เค้าเล่าไปใช้ได้นะ แบบครอบครัวไหนทำธุรกิจอยู่ก็เอาไปใช้ได้

อันนี้ยังไม่จบๆ 5555 อยากช่วยมากก เพราะ ไฟนอล70%เนอะ คือ ไฟนอลจะมีทั้งหมด 4 คำถาม:
1. กฏหมาย อาญา เพ่ง ออกอย่างไดอย่างนึง
2. ร่างสัญญา (อันนี้ใครที่เรียนกะอจ.อาทิตย์ ก็ลอกpattern นั้นได้เลย เค้าจะมีให้ทำส่งเป็นการบ้าน)
3. Form of business ownership
4. Tax calculation (อันนี้โหดสุดตอนพี่เรียน แต่อจ.สอนทุกอย่างแล้วจิงๆนะ ตั้งใจฟังด้วย)

คือ อยากจะบอกว่า น้องๆอย่าคิดว่ามันจะตรงกะที่พี่เจอนะ เพราะพี่ก้ผ่านตัวนี้มาได้แบบเกือบสองปีแระ 55555 อจ.เค้าอาจจะเปลี่ยนบ้างไรบ้างอ่าเนอะ แต่ ส่วนตัวพี่ว่าไม่น่าจะแตกต่างกันมาก คาบสุดท้ายอจ.อาทิตย์ จะบอกเองว่าออกอะไรบ้าง น้องเชื่อเค้าดีกว่าเยอะ 5555 อย่าลืมอ่านหนังสือหนักๆเน้นๆ ส่วนเรื่องตอบคำถามทั้ง4ข้อนี้ อจ.อาทิตย์แกจะบอกเลยว่าให้เขียนเกี่ยวพันกะอะไรบ้าง ก้เขียนไปตามที่แกสอนอ่าแหละ (อันนี้แอบเสียใจเพราะไปถามเด็กนิติมา ซึ่งเค้าล้ำมากกกก ก*ล้านตัว ตอบทีได้2หน้ากระดาษ ยกกฏหมายนู้นนี้มาใช้ บางอันนี่ไม่เคยได้ยินเลย เห็นคำตอบของเด็กนิติแล้วท้อ555) ส่วนตัว พี่ไม่ได้เขียนเยอะมาก เพราะบางทีก็กลัวเวิ่นเว้ออ ประมาณข้อล้ะ 1หน้ากระดาษก่าๆได้ (ซึ่ง หน้ากระดาษนี้มันคือสมุดเล่มเล็กๆอ่ะ)

International business management
สำหรับตัวนี้พี่ว่าสนุกอยู่นะ พวกน้องก็จะได้เรียนเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจข้ามประเทศ หรือ บริหารพวก MNCs ถ้าใครคิดไม่ออกก็พวก สตาบัค ที่มาเปิดในไทย เค้าบริหารกันยังไง น้องๆก็จะได้เรียนเกี่ยวกับมุมมองของการลดต้นทุน การบริหารวัฒนธรรมแตกต่างกัน ไรงี้ เอาเป็นว่าสิ่งที่จะเจอแน่ๆเลยคือ เคสธุรกิจ พวกองค์กรใหญ่ๆไรงี้ เช่น Unilever, Nike, Adidas

ส่วนอจ. (พี่จำชื่อไม่ได้แล้ว) เหมือนเค้าจะแบ่งๆกันสอนเนอะ ซึ่งกะแฟร์ดีๆ ไม่ต้องเลือกเซคให้มันวุ่นวาย ตอนพี่เรียนรุ้สึกจะมีอจ.4ท่านเรยมั้งที่แบ่งๆกันสอน ซึ่งกะหลากสไตล์ดีนะ 

Management science
วิชานี้พี่ก็ไม่เข้าใจกันว่าทำไมรุ่นพี่แต่ล้ะคนบอกให้ลงเทอมสุดท้ายของปี4 (ขออจ.จบได้ หรอ???) น่อวไอเดียเจิงๆน้องๆ 5555 เอาเป็นว่าที่พี่ได้ยินคือ วิชานี้เม่งยากมากกกกกและเป็นหนึ่งในวิชามหาโหดที่ต้องเจอก่อนจบมูอิคเลยก็ว่าได้ แต่ๆๆๆ ตอนพี่เรียนเม่งชิลมากกกกก (แต่ได้ยินมาว้าเรียนกะอจ. ดอลชัยไม่ชิล?) คือ เห็นหลายคนบอกต้องเก่งเลขๆ พี่ก็ไม่ได้เก่งมากมายนะ ทำไมพี่คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายว่ะ 55555 คือ ถ้าน้องๆที่เรียน ศศ. มา จะเข้าใจดีว่า optimization คืออะไร วิชานี้เหมือนเอาวิชา ศศ ส่วนนี้มาตีกระจายในด้านของโปรแกรม (ชิลนะไม่ต้องกดเครื่องคิดเลข ฮาาา) หลังมิดเทอมจำได้ มีให้วาดกราฟด้วย ใครที่เป็นเด็ก ศศ ก็มันส์ไป เพราะมันตรงกะเนื้อหาที่เรียนมากก (เด็กศศ.อย่างเราๆนี่วาดกราฟเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วไง 5555)

อ่อ มีอย่างนึง มันก็จะมียากๆหน่อยตรง Decision tree อ่าแหละ (อันนี้ยอมรับเลย) แต่ มิดเทอม อจ.เหมือนจะช่วยเพราะ มันทำได้หลายวิธีไง แต่สุดท้ายแล้ว คำตอบก็ต้องได้เท่ากันนะเห่ยย 5555 พวกแกไปดูในยูทูปได้ สอนบางทีละเอียดก่าอจ.เยอะ 5555

วิชานี้พี่เรียนกะอจ. Ornlatcha เหมือนตอนพี่เรียนมีอจ.2คนป่ะ อีกคนหนึ่งพี่เจอ คือ อจ. ดอลชัย ตอนเรียน ศศ ไมโครระดับกลางง่ะ (ไม่แฮปปี้มากมายย 5555) คร่าวนี้เลยขอลงกะอจ. Ornlatcha ซึ่งอจ.ชิลมากก 5555 (อจ.หลายท่านก็ชิลเนอะ555) อจ. จะสอนไปเรื่อยๆของเค้าอ่ะ บางทีนี่ ไม่รู้สึกคุ้มค่ากะการไปม.เพราะสอน ช.ม.เดียวก็ปล่อยแล้ว 5555 แต่ใส่ใจเด็กอยู่นะ คือ พวกแกต้องไปถามไง เพราะไม่งั้นอจ.เค้าจะรู้ได้ไงว่าไม่เกตตรงไหน บางทีอีเมลไปถามก็ได้ แต่ๆๆ มันไม่ได้ง่ายงั้น เพราะก่อนถาม ยูต้องเกตมานิสนึงงก่อน ไม่ได้ถามกันง่ายๆนะ 5555 ไปลองถามดูแระจะรู้ บางทีนี่ ถามจนไม่อยากถามเรย5555

Operational management
ตัวนี้ พี่ไม่ได้เรียนอ่า แต่เห็นบอกคล้ายแมนไซด์ป้ะ 5555

Business Finance
โหดสุดในมูอิคก็ตัวนี้แหละ แต่ๆๆ ไม่ได้ยากจิ้งๆเกินความสามารถ เด็ก ศศ. ส่วนใหญ่เก่งเลขไม่น่าจะว่าวิชานี้ยากนะเอาจิง 5555

สิง่ที่วิชานี้จะสอนแก่เด็กๆทั้งหลายคือ การวิเคราะห์งบการเงินของบ.เบื้องต้น แระเรียนรุ้ที่จะจำแนกเงินสดของบ.ไปใช้ในการบริหารด้านต่างๆ กะจะมีตัวเลข+สูตรให้คำนวณต่างๆมากมายเรย เช่น ที่จำได้กะจะมีพวก current ratio (สภาพคล่อง), D/E ratio บอกสถานะหนี้เทียบกะทุนที่มีอยุ่ภายใต้บ. อะไรประมาณนี้ ส่วนตัวตอนเรียนพี่ลงกะ อจ.ที่ชื่อ Sirithida อจ.ใจดีมากกก สอนกะโอเคอยุ่นะ เพียงแต่ตอนนั้นทำไมมีแต่คนบอกให้ลงกะ Thanarek ก้ไม่รุ้ 55555+ 


Business Ethics
ตัวนี้เป็นวิชาที่คิดว่า มันดูดพลังชีวิตมว้ากกก เพราะตอนที่พี่เจอ พี่เจอในรูปแบบของ course elective ซึ่งพี่เข้าเรียนไปได้สัก 2 ครั้งก็บายจ้าาาาา 55555 ดรอปอย่างไวเรย เพราะอะไรหรอ หื้มมมม มันเปนฟิลแบบ ไม่อยากเรียนง้ะ จำได้ว่ามีเอกสารให้อ่านเยอะมากกก และก็มีให้ถกเถียงกันในห้องสะส่วนใหญ่ พี่เป็นคนไม่ชอบอะไรแนวนี้ก้เรย ไปดีก่า 55555

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประเด็นสำคัญ มหิดลอินเตอร์แตกต่างจากม.อื่นยังไง

สำหรับพี่แล้วตอนพี่เรียนที่นี่ มูอิคจะเน้น ไปทางสาย apply มากกว่าท่องจำนะ ซึ่งพี่ว่านำไปใช้ได้จริงๆนะ ตอนเรียนอจ.ก็พยายามทำให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการตอบคำถาม ถกเถียงกันว่าคิดยังไง

อจ.บางท่านก็จะเน้นไปสอนจากประสบการณ์ที่เค้าเคยเจอสะมากกว่าสอนตามหนังสือ

อยากจะบอกน้องๆว่า ที่มูอิคเนี่ยนะ เรียนหนักตรงที่ เทอมหนึ่งของมูอิคจะมีอยู่สามเดือน ซึ่งถ้าเทียบกับ ม. อื่นๆ เค้ามีกันแค่สองเทอม (เทอมล้ะ5เดือนมั้ง) กลายเป็นว่าพวกเราเหมือนได้หลักสูตรเร่งรัดอะไรไปเลยประมาณนั้นฮ่าๆๆ แต่ ตอนเรียนก็แอบชิลๆอยู่ เพราะส่วนใหญ่เนื้อหาที่สอนมันก็จะโดนปรับให้พอดีกับเวลาเพียงช่วงสามเดือน   อีกอย่าง วันเวลาเราการเรียนเลือกเองได้ไง ส่วนใหญ่เวลาว่างจะเยอะมากก โดยเฉพาะช่วงปี1 (แต่อันนี้ก็แล้วแต่เวลาที่ลง(หรือที่เรียกกันว่าเซคน่ะแหลพ)ที่น้องๆเลือกกัน บางคนได้เซคไม่ดีก็ต้องเรียน6วันก็มี) เพราะใครโชคดีลงเรียน4วันได้ก้ มีเวลาอ่านหนังสือให้เตรียมตัวเยอะหน่อย

อีกอย่างที่น้องๆต้องเจอคือ ระบบที่ตัดเกรดแบบเกณฑ์ ไม่ได้อิงจากกลุ่ม แบบ ม.อื่นๆ
ที่นี่จะตัดแบบ เกณเป็นหลัก เช่น A ที่ 90% ไรงี้ (บางคลาสนี่ A ที่ 95%) ก็ใจล่มๆกันบ้างอ่านะ เร่งรัดแล้วยังให้เอยากอีก

ส่วนสังคมเด็กของที่นี้ พี่ว่าก็ออกแนวไฮโซหน่อยๆนะ เพราะก็อย่างที่รู้ๆกันค่าเทอมแพงมหาโหดขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่จะมีลูกคุณหนูเยอะหน่อย ฮ่าๆๆ (แต่เอาจิงๆเลยถ้าม.ไหนไม่มีลูกคุณหนูสิแปลก แปลกมากกก) แต่ๆๆพี่ว่า พวกเค้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ เพื่อนๆที่นี่ก็ออกจะชอบคุยกันมากกว่า บางคนนี่สายเม้ามอยเลยนะ ถึงหน้าจะดุๆหน่อยก็เถอะ 555

ส่วนคำว่ารุ่นน้อง รุ่นพี่ ของที่นี่ พี่ว่ามันดูปกติกว่าม. อื่นมากเลยนะ ปกติในที่นี้คือ มันก้ไม่ได้มีการแทคแคร์มากมาย แบบ สายรหัสก็รุ้สึกมีแต่ไม่ได้มีทุกคน!! (ไม่รุ้ตอนนี้เปลี่ยนไปแค่ไหนนะ ฮ่าๆ) อาจจะเพราะว่าสังคมออกแนวฝรั่งๆหน่อยม้างงง และ รับน้องไม่ได้โหดเท่าม.อื่นด้วยมั้ง เลยไม่ค่อยมีความเน่นแฝงสัมพันธ์แบบ น้ำใจน้องพี่สีชมพู (ฮ่าๆ อิงม.นี้สะเลย) คือ รุ่นน้องรุ่นพี่ก็ไหว้กันปกติอยู่อ่าแหล่ะ (บางคนก้ไม่ได้ไหว้ ก้โบกมือเฉยๆกัน) แต่ก็มันก็จะมีความ independent สูงมากมากั้นอยู่หน่อยๆ เอาจิง พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ แต่อยากให้น้องๆเจอกับตัวเองเลยดีกว่า 55555

คราวนี้มาดูระบบการเรียนกันดีกว่า
วิชาที่นี้ จะเน้นไปที่ หนังสือของ mcgraw hill education สะไปส่วนใหญ่
อันนี้ก็แล้วแต่น้องๆเลยแล้วกันว่าจะซื้อหรือไปยืมที่ห้องสมุดเอา (ห้องสมุดถ้าอยากยืมก็ต้องไวๆหน่อย เพราะหนังสือส่วนใหญ่มีอยู่ 2-3 เล่ม) ตอนที่พี่เรียน พี่ชอบไปยืมที่ห้องสมุด เพราะหนังสือเล่มหนึ่งแพงมากก ตกเล่มล้ะ 1,000++ บาทได้ คือ เสียค่าเทอม ห้าหมื่นเกือบหกหมื่นไปแล้วว อย่าหวังเลยว่าจะได้เงินค่าหนังสือตรูอีกกก แต่ถ้ายืมไม่ทันจิงๆ เช่น หนังสือของอีคอนส่วนใหญ่มีอยุ่เล่มเดียว ก้จะออกแนวรอ และเอาไปก้อปเป็นบทๆแทน ทั้งนี้น้องไม่ต้องซีเรียสให้มาก เพราะเนื้อหาที่เรียนส่วนใหญ่อจ.สรุปให้ฟังก่อนทั้งนั้น ไปอ่านเองทีหลังได้ แต่ยังไงก้แล้วแต่พี่ก้ไม่อยากให้น้องๆชิลกันเยอะ เพราะส่วนใหญ่อ่านกันไม่ทันจิงๆนะ หรือไม่จะไปยืมจากห้องสมุดต่างคณะก้ได้นะ มีทางเลือกเยอะอยุ่เหมือนกัน ไม่จำเปนต้องเสียตังมากหรอก อ่ออ บางวิชามันมีe-book ที่เป็นไฟล์pdf อยุ่อ่ะ ลองหาๆดู แต่คือ พี่เปนคนไม่ชอบอ่านหนังสือในคอม ก้เรยไปยืมในห้องสมุดสะมากก่าอ่านะ 

ติวเตอร์ของม. ฟรีจ้า
ตอนพี่เรียนเนอะ อ่ออ มันก็จะมีเด็กที่ไปเรียนพิเศษหน้าม. เพื่อเอาคะแนนดีๆ อันนี้พี่ไม่ว่าอาราย เพียงแต่อยากบอกว่า มันจะมีติวฟรีให้ (อันนี้ไม่รุ้ยังมีอยุ่ไหม) จัดโดยมหาลัยเองอ่านะ เปนวิชาๆเรย เช่น เลข, โลจิก, อังกฤษ, computer science ก็มีนะเออ เข้าแระไปเป็นคลาสๆล้ะติวก้ได้แว้วว ไม่ต้องเสียตังไปติวนอกม.อีก ส่วนรายละเอียดการติว จะมีตารางๆติดไว้ที่บอร์ดนะ ไปอ่านๆและเข้าเป็นช่วงๆติวได้

เอ่า...ล้ะที่ร่ายเรื่องมา สรุปแล้ว มหิดลอินเตอร์ต่างจากตัวมหิดลยังไง?
 
พี่ขอยอมรับว่าพี่เองเป็นคนที่ติดภาพลักษณ์มาตลอดว่าเห่ยยย มหิดลมันต้องม.แพทย์ หรืออะไรที่เกี่ยวกะวิทย์ๆดิ เพราะมันอันดับ1ของไทยเลนนะ ถ้าบีบีเอ ก้ต้อง ฬ มธ เกษตร สิ 5555555คือ แกฟัง!! ส่วนตัวนะ พี่คิดว่าตัวม.มหิดลเองไม่ได้โปรโมทด้านบีบีเอ และพวกศิลป์อะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนม.อื่นๆไง พูดง่ายๆคือมหิดลเพิ่งเริ่มมีหลักสูตรพวกนี้ไม่นานมานี้เอง เช่น เมเจอร์ศศ. ก้เพิ่งเริ่มมีตอน2008 ด้วยเหตุที่เค้าจัดการตามหลัก core competency (หรือเน้นไปโปรโมทด้านที่ตัวเองมีดีอยุ่แล้วก่อน แระค่อยๆทำวิชาการอื่นให้แข็งตามมา) สังเกตุได้จากเวลาโฆษณาหรือต้องการสร้างอิมแพคต่างๆนาๆกะสังคมก้จะใช้แพทย์ หรือ พวกวิทย์ ไม่ก้งานวิจัย มาเปนจุดโฟกัส เช่น เวลาโปรโมทมหา'ลัยก้จะใช้ รามา หรือ ศิริราชไรงี้ น้อยยยยมากกกกกกกถึงมากกกที่สุด ที่น้องจะเหนเค้าใช้ชื่อมหิดลคณะไอซี หรือคณะ ศิลปศ. ออกมาเปนตัวเปนตนในทีวี ฮาาาา เพราะด้วยเหตุนี้พี่เรยคิดว่า มหิดลยังคงด้อยการโปรโมททางด้านศิลป์แระการจัดการ  เมื่อเทียบกะฝั่งม. ฬ/มธ ที่เค้าใช้กลยุทหลากหลายในการโปรโมทไปสะเกือบทุกคณะ! ซึ่งนับเปนกลยุทที่สมาทมากกที่พยายามใช้ความสัมพันระหว่างม.ในการโปรโมทกันเอง จุดนี้พี่มองว่ามันเปนเกมที่วิน-วินทั้งสองฝ่าย สังเหตุได้จาก งานบอลกีฬาประเพณีระหว่างม.ต่างๆนาๆ ต่างฝ่ายต่างได้โปรโมท ออกทีวีโดยอาจจะไม่ต้องจ้างสื่อหรืออะไรเลยก้เปนได้ ชื่อเสียงมหาลัยก้เพิ่มขึ้น ผู้คนผ่านไปมาแถวนั้นเหนบรรยากาศก้อยากเข้าไปเรียน ในขณะที่มหิดลเอง...ก้มีพวกกีฬาต่างมหาลัย!! แต่!!!!!! ไม่ได้หวือหวาเท่าทางฝั่งนุ้นไงง เวลามหิดลออกมาโปรโมทไรงี้เรยไม่ได้สร้างอิมแพคดีเท่าไหร่ มั้งนะะ (หรือใครคิดว่าดีบ้าง??) เอ่ะหรือมันไกลจากม.อื่น?? 555555 แต่ๆๆทั้งหมดนี้พี่ก้ไม่อยากจะโทษตัวมหิดลหรอกเพราะมันยังคงต้องการใช้เวลาในการ build-up impression ว่ามหิดลไม่ใช่แค่ม.แพทย์ กะ วิทย์ แต่มีดีได้ทุกด้านเหมือนกะม.อื่น แระถ้าถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ พี่คิดว่ามันจะดีต่อตัวนศ.มหิดลแระ ตัวมหิดลเองมากก...

สรุปสั้นเรยๆล้ะกัน ตัวมหิดลเองอ่านะยังคงไม่ได้โปรโมทด้านศิลป์มากมายอะไรขนาดนั้น พี่เลยคิดว่าการที่มหิดลมีการเปิดคณะอินเตอร์แยกออกมาเลย จะทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น!!! เพราะถ้าระดับอินเตอร์แล้วเนี่ย พี่เชื่อว่า เห่ยยย.... ของเค้าดีจิงอ่ะ ทุกคนที่นี่พูดอังกฤษได้ แระเก่งมากกกก สำเนียงพรีเซ้นนี่จัดเต็มมากๆ เขียนเอสเสกันทีเด็กม.อื่นที่เรียนหลักสูตรอินเตอร์อาจอายได้ (ไม่ได้อวยม.ตัวเองนะ แต่เจอมาจากชีวิตจิง) 555 พี่คิดว่านี่คืออีกจุดเด็นนึงเลยที่ทำมันทำให้เป็นคาเรคเตอร์ของมหิดลอินเตอร์ คือส่วนใหญ่เด็กจบม.ปลายเมืองนอกหรือเรียนพวก รร.อินเตอร์มากันเยอะ พอมารวมตัวเรียนกันที่นี่ เลยแทบได้ว่าใช้ภาษาอังกฤษกันเป็นเกือบทุกคน


สุดท้ายแล้วๆ สิ่งที่พี่แนะนำได้ก้คือ ไปOPEN HOUSE ของแต่ล้ะม.ดู เพราะ นี่แหละ คือโอกาศที่จะได้ดูบรรยากาศ และ อาจจะเจออจ. พี่ๆในม. ก้จะได้ถามเค้าได้ด้วยว่าการเรียนเปนยางงาย เนอะๆๆ


ส่วนถ้าจะเทียบระบบอินเตอร์กะม.รัฐอื่นล้ะ? เห่ยย เอาจิงพี่ว่ามหิดลอินเตอร์นี่ ใช่สุดๆล้ะนะ ความอินเตอร์มีอยุ่เพียบ ถ้าม.รัฐ ที่อื่น มันจะออกแนว English program แระ...พี่ก้จะบอกว่า ให้ไปอ่านเพิ่มเติมในนี้ https://muxchula.blogspot.com/2017/11/muic-and-cu.html เคยเขียนไว้แระ 55555

 
**แถมๆๆ เท่าที่สืบๆมาคิดว่าอินเตอร์ที่นี่ถูกสุดล้ะนะถ้าเทียบกะในบรรดาม.รัฐโปรแกรมอินเตอร์ทั้งหลายย





วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

แนะนำตัว

สวัสดีนะน้องๆพี่ๆทุกคนเลยย

ก่อนอื่นขอแทนตัวเองว่าพี่แล้วกันเนอะ (เอสสูมว่าเปนพี่แระกัน555)
พี่ชื่อ พี่บอสนะ เด็กๆ
พี่ขอต้อนรับน้องๆ (My future juniors) ทุกคนเข้าสู่บทความประสบการณ์การเรียนการสอนของพี่ รุ่น558 ที่เรียนมหิดลอินเตอร์ BBA สาขา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ (BE) น้าาา พอดีนึกขึ้นมาได้ก็... เออว่ะ นี่จบจากมหิดลที่นี่ไปแล้วนะ ยังไม่ได้เขียนอะไรบอกเล่าที่เกี่ยวกับที่นี่เลยย...

4ปีนี้มัน โหด มันส์ และ เร็วมากกกเลยนะน้องๆ พี่บอกน้องๆได้เลยว่า
น้องๆจะได้พบกับ สังคมที่กว้างขึ้น การเรียนการสอนที่เข้มข้นขึ้น และกิจกรรมหลากหลายคลับ ที่เพิ่มโอกาส ให้น้องได้พบปะเจอเพื่อนใหม่ๆตลอดทั้งเทอมเลยก็ว่าได้

ในบล็อคนี้ พี่ก็อยากจะฝากความทรงจำ และประสบการณ์ที่เคยได้เรียน และสัมผัส
เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อ ทุกคนที่กำลังคิดที่จะสอบเข้า มหิดลอินเตอร์แล้วกันเนอะ
ยังไงพวกเราก็ สังคมมหิดลกันอยู่แล้ว :)

4 หัวข้อหลักๆ แบ่งเป็นพาร์ทๆ ไปแล้วกัน

  1. MUIC admissions: ข้อสอบของมหิดลอินเตอร์ ทำยังไงดีให้เข้าได้ ต้องเตรียมตัวอย่างไรดี พี่ว่าไม่ต้องง้อติวเตอร์หรอกครับ มันสิ้นเปลืองเงินค่าใช้จ่าย แค่ค่าเทอมที่น้องจะต้องจ่ายให้ที่นี่ก็มหาโหดพออยู่แล้วมั้ง 555 พี่ขอแค่ให้น้องตั้งใจพอ พี่ก็พร้อมจะบอกทริคในการสอบด้วยนะ (เอาไปเลยย พี่พร้อมแชร์) 
  2. Life at MUIC Salaya campus: มหิดลอินเตอร์ต้องเรียนแค่ที่ ศาลายา ที่เดียวหรอ แล้วน้องอยากรู้ไหมว่าที่นี่มีข้อดียังไง ขอเกรินอย่างตรงๆว่า "ไม่มีหรอก" มันไกลเมืองมากก เพื่อนๆพี่ๆที่เค้าเรียนเมืองแถวสามย่านกันก็เดินสยามกันถ้วนหน้า ส่วนศาลายาก็ศาลายาไปเด้...โดยเฉพาะพี่เองตลอดทั้งสี่ปีก็ไม่ได้อยู่หอ คือ ไปกลับตลอดวันที่มีเรียน บอกได้เลยว่าทรมานมากก แต่พอจบมาพี่ดัน คิดถึ้ง คิดถึงมหาวิทยาลัยนี้ นี่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดมั้ง เพราะมันทำให้เรา อด บวก ทน ดีๆนี่เอง ฮ่าๆๆ
  3. Study Courses: อันนี้พี่เจอมากะตัวว่า การที่เรียนคนเดียวและไม่ค่อยมีคนแนะนำว่าเราควรจะลงอะไรก่อน อะไรหลังดี มันเป็นอะไรที่หนักใจมากอ่าา พี่เลยอยากจะบอกเล่าเกี่ยวกับคอร์สต่างๆ รวมไปถึงเมเจอร์ BE แต่เมเจอร์อื่นก็อ่านได้นะะ โดยเฉพาะ international business (IB) เพราะพวกยูจะเจอกะพวกไอบ่อยมากกกเลยก็ว่าได้ 
  4. Activities: กิจกรรมที่มูอิคมีตลอดทั้งสามเทอม พี่จะรวมไว้ในนี้ให้มากที่สุดน้าา พี่เองก็อาจจะไม่ได้รวบรวมทุกคลับหรอก แต่จะพยายามรวมให้มากที่สุดแล้วกันเนอะ เผื่อน้องสนใจเข้ามาเก็บข้อมูลแระกันเนอะ



มีคำถามเพิ่มเติม อย่างรู้อะไรเพิ่ม เมลล์ถามพี่ได้น้าา bosunewse@gmail.com