วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2562

FAQ ตอบคำถามที่เจอบ่อย + ที่เคยมีคนถามเข้ามาเกี่ยวกับมหิดลอินเตอร์

ในเมื่อมันมีคำถามมากมายที่ต้องมาตอบ E-mail น้องๆ ในพาร์ทนี้พี่จะขอตอบคำถามที่มีคนถามเข้ามาเยอะที่สุดแล้วกันนะ 

คำถาม1:
พี่ ทำไมมหิดลอินเตอร์ถึงแยกตัวเองออกมาจากคณะอื่นๆ

คำตอบของพี่เรยนะ คือ ถ้าจะมองเป็นคณะๆของมหิดลไป มันก้จะมีเปิดแบบพวกโปรแกรมอินเตอร์ไรงี้ใช่ม้ะ แต่ของมหิดลอินเตอร์จัดเป็นวิทยาลัยในตัวของมหิดลอีกทีเรย (ชื่อทางการของเราจะเรียกว่า วิทยาลัยนานาชาตินาจา) ซึ่งถ้าให้มันเข้าใจง่ายๆ นี่คือมหาวิทยาลัย(อินเตอร์)ที่แยกระบบการจัดการรวมไปถึงพวกงบการจักการ/หลักสูตรการเรียนการสอน/คณะ/เมเจอร์ต่างๆ ออกจากตัวของม.มหิดลเองเลย เช่น ถ้าเวลาเด็กมหิดลถามพวกเราว่าเรียนคณะอะไร เราก้จะตอบเค้าไปว่าวิทยาลัยนานาชาติ/IC/มูอิค//มิวอิค และก็ตามด้วยเมเจอร์ เช่น มาเกตติ้ง อะไรประมาณนี้ 

ทีนี้ทำไมเค้าถึงเปิดแยก? ทำไมไม่เอาแต่ล้ะคณะของมหิดลมาเปิดหลักสูตร/ภาคอินเตอร์แทนล้ะ? เช่น คณะศิลป์ศาสตร์เปิดภาคอินเตอร์งิ จุดนี้พี่คิดว่าเค้าต้องการความ internationalized campus ซึ่งพี่คิดว่าเป็นการสร้างจุดแข็งในด้านที่ตัวมหิดลอ่อนอยู่ ก้คือ พวก liberal arts ของเค้านั้นเอง มหิดลนั้นได้รับการยอมรับการแพทย์อย่างเป็นสากลจากต่างประเทศต่างๆ แต่ไม่ค่อยเด่นด้านศิล เท่าไหร่นัก (refer to qs rank) ซึ่ง พี่คิดว่าถ้าเค้าทำแยกออกมาเป็นคณะแบบนี้จะทำให้สร้างจุดแข็งได้เร็วกว่าคณะที่ยอมเปิดแบบโปรแกรมอินเตอร์

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก้ต้องขอยอมรับว่ามหิดลอินเตอร์ก้ยืมชื่อเสียงม.แพทย์มาเปิดนั้นแหละ แต่ก้อย่างที่บอกไปว่า น้องๆยอมรับได้หรือป่าวที่ สังคมไทยมองตัวมหิดลว่าเป็นม.แพทย์แระมีดีแค่นั้น การแยกออกมาเป็นคณะอินเตอร์ทำให้ผู้ใหญ่บางคนถึงกับไม่ยอมรับ อันนี้พี่ก้ต้องบอกว่าจุดนี้คงต้องใช้เวลาและ รอการพัฒนา ปรับเปลี่ยนความคิดมุมมองของสังคมว่ามหิดลนั้นมีดีอย่างอื่นด้วย แต่ๆๆๆ ถ้าถามว่าวัดกันที่ความเปนอินเตอร์ล้วนๆแล้วอ่ะ แบบมองไปที่ muic ranking หลายต่อหลายเว็บให้มหิดลอินเตอร์เปนที่หนึ่งของ international program นะเออ

คำถาม2: ทำไมถึงต้องเลือกมหิดลอินเตอร์ ทำไมค่าเทอมต้องแพง

ตอนนั้นที่พี่เลือกมหิดลอินเตอร์เพราะไปopen house ของเค้ามาแระชอบบรรยากาศของม.นี้มาก คือมันน่าเรียน (ถึงจะอยุ่ไกลก้เถอะ) แระอีกอย่างติดใจในการที่เดินผ่านใครต่อใครตอนนั้นก้คุยเป็นภาษาอังกฤษ ก้เรยคิดว่าที่นี่น่าจะมีของ ส่วนคำถามที่ว่าทำไมพี่ไม่เลือกม.อื่น แบบ ฬ มธ เกษตร ไรงี้ ตอบเรยว่าตอนนั้น พี่ก้แอดเข้า ฬ มธ เหมือนกัน แต่ไม่ได้เลือก เพราะว่าดันติดมหิดลก่อน (คือพี่ติดมหิดลแระก้เริ่มเรียนตอนประมานเมษาเรย ถ้าพวก ฬ มธ ก้ต้องรอกลางปีหรือรออีกสองเดือนนั้นแหละ) สำหรับตัวพี่แล้ว พี่ไม่ได้ยึดติดกะชื่อเสียงม. อะไรขนาดนั้น พี่แค่คิดว่า ม.ไหนที่ให้เราในสิ่งที่ต้องการได้ พี่ก้อยากเรียนที่นั้น อันนี้ก้ต้องดูว่าน้องอยากจะใช้ชีวิตเปนเวลา4ปี ที่ไหน ม.ไหนมีความพร้อมพวก facility อะไรต่างๆ ต้องไปศึกษาให้ดี พวกอจ. เค้าใช้อจ.ภาคไทยพูดอังกฤษไม่รุ้เรื่องมาสอนเดกหรือป่าว อันนี้ก้ต้องดูเพราะบางม.มีแบบนี้จิงๆ

ส่วนคำถามว่าทำไมถึงแพง จุดนี้พี่ขอเรียกว่าเป็นจุดมาเกตติ่งของทางมหาวิทยาลัยเค้าแล้วกันนะ คิดว่าที่เค้าคิดแพงเพราะtarget กลุ่มที่อยากเรียนอินเตอร์มีน้อย (สมัยก่อน)
ค่าอจ.ไทย แระ อจ.ต่างชาติ ที่พี่เคยได้ยินก้แพ่งแพง ได้ช.มล้ะ 3000 อัพถึง 6000 นะเออ ดังนั้นไม่แปลกที่เค้าจะชาร์จคนมาเรียนแพงๆ

ถ้าถามว่าคุ้มต่อการลงทุนไหม พี่ขอตอบแบบโลกแห่งเปนจริงนะน้อง55555 พี่ว่ามันจะคุ้มถ้าน้องจบออกมาแระได้งาน เงินเดือนที่ดี ซึ่งส่วนใหญ่คือการที่น้องได้ทำงานกับบ.ต่างชาติ หรือพวกบ.เอกชนนั้นเอง ซึ่งถ้าน้องเรียนอินเตอร์ ตัวน้องจบออกมา บอกได้เรยว่ามีข้อได้เปรียบทางด้านภาษาอังกฤษ และภาษาที่3 ถ้าน้องได้บ.ต่างชาติแระได้ใช้ภาษาที่ได้เรียนรุ้มาอยุ่เรื่อยๆ จุดนี้พี่มองว่าคุ้ม และบอกเรยว่าการเรียนอินเตอร์จะเพิ่มโอกาศในการหางานนี้มากกว่าการเรียนภาคปกติแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก้ต้องขึ้นอยุ่กะเกรดที่จบออกมาด้วยว่าดีแค่ไหน เพราะเกรดดีมันคือโอกาศในการแสดงศักยภาพให้บ.ใหญ่ๆในการหางานครั้งแรกรู้ว่าอย่างน้อยน้องก้ตั้งใจเรียนมา และสนใจในด้านไหนเป็นพิเศษ ซึ่งพี่คิดว่าบ.ส่วนใหญ่เค้าจะรู้ได้ก้คงดูว่าเกรดวิชาไหนดีไม่ดีเนี่ยแหละ อ่อ อีกอย่าง ความมีเกรดดีเป็นโอกาศในการชิงตำแหน่งดีๆแบบที่เด็กเกรดไม่ดีไม่สามารถสมัครได้ด้วยเออ (อย่าหาว่าแก่งแยก แต่ปจบ. บ.บางบ.เปิดรับเด็กจบใหม่แบบนี้จิงๆเด้อ) เช่น อย่างบ.น้ำมัน บางแห่งก้คัดเลือกเด็กที่เกรดขั้นต่ำที่3.5ก่อนเรียกมาสัมพาด

ส่วนคำถามที่ว่าจบอินเตอร์มา ม.มีผลในการได้งานแรกไหม ขอตอบว่ามี เพราะส่วนใหญ่ผู้บริหารชอบเด็กจบใหม่ที่ได้ทักษะภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น ถ้าจะให้เทียบกะเด็กภาคปกติแล้วขอบอกว่าเด็กภาคอินเตอร์ดูดีมีภาษีก่าเยอะ 555 แต่ๆๆ ส่วนใหญ่บ.เค้าก้ดูหลายปัจจัยในการคัดเลือกเด็กเข้ามาทำอ่าแหละ อย่างเช่น ถ้าเกรดน้องเน่าจบจากไม่ว่าจะม.ไหน เค้าก้อาจจะรับแต่ขอแบบกดเงินเดือนไปแทนไรงิ ถ้าเกรดน้องดีแระแบบจบจาก ม.ดังๆ ด้วยก้อาจจะเจอปัญหา ที่ผู้บริหารกลัวว่าจะอยู่ทำงานกะเค้าไม่นาน ก้อาจจะไม่จ้างได้นะเออ 5555 เอาเป็นว่าก้ต้องยอมรับความจิงว่าสังคมไทยเราก็ยังมีแอบแฝงความคัดเลือกม.ด้วยแหละเออ ส่วนมหิดลอินเตอร์ ขอบอกไว้เรยว่า จบไปส่วนใหญ่ก้ทำธุรกิจบ้านกันทั้งนั้นจย้าาาา อิงจากปสก.พี่เรยนะ ไม่ค่อยเจอหน่องๆเด็กมูอิคเบยยย

คำถาม3: เรียนมหิดลอินเตอร์ยากไหมสำหรับคนที่เรียนแต่ภาคไทยมาตลอดแต่อยากต่ออินเตอร์ และ มหิดลอินเตอร์ตอนเรียนตัดเกรดโหดแบบนี้ ยากไหม

คำตอบของพี่ก้คือ ถ้าน้องตั้งใจมันก้รอดอยุ่แล้วอ่ะ ส่วนใหญ่ล้วนแต่การปรับตัวของน้อง พี่เชื่อว่าถ้าน้องตั้งใจ ผลก้จะออกมาดีอยุ่แล้ว เท่าที่พี่เห็นส่วนใหญ่ก่ต้องเรียน pre-college ก่อนหรือป่าว ซึ่งหลักสูตรนี้แหละจะทำให้น้องสตรองในภาษาอังกฤษขึ้นเยอะ แต่ถ้าได้คอลเลจเลยพี่แนะนำให้หาเพื่อนแระช่วยกันติว บางทีก้แอบอัดเสียงอจ.แระมาเปิดฟังอีกที (เผื่อบางทีฟังไม่ทันไรงี้) ก้จะช่วยได้เยอะเหมือนกัน

ส่วนคำตอบที่ถามว่าทำไมถึงตัดเกรดโหด พี่คิดว่าแต่ล้ะการตัดเกรดมีข้อดีข้อเสียของมัน การตัดแบบเกณ คือทำให้มีมตราฐานในการตัดเกรด คือ ถ้าอิงกลุ่ม แระมีนคนในเซคมันน้อยก้จะทำให้เหมือนเรียนแบบผ่านไปได้แต่จิงๆแล้วไม่ได้อะไรเรยก้มี และอีกอย่างพี่คาดว่าการที่ ตัดแบบเกณ เค้าอิงระดับสากล เพราะม.ในต่างปท ก้ใช้เกณ ในการตัดเกรดแระตัดเอที่90เหมือนกัน


คำถาม4: สังคมมหิดลอินเตอร์เป็นยังไง ไฮโซจิงหรือป่าว

เอาจิงๆ คำถามนี้พี่เจอคนมาถามบ่อยมากกก แระขอตอบในที่นี่ครั้งสุดท้ายแระกัน ถ้าถามมาก้ก้อปในนี้แหละตอบ 5555 อืมมม ไฮโซไหมหรอ พี่คิดว่าเอาจิงสังคมมหิดลมันปะปนกันไปหมด คือ ก้จะมีลูกคุณหนูอยุ่กลุ่ม ระดับกลางก้อีกกลุ่ม ระดับงกก้อีกกลุ่ม555(เช่น พี่เปนต้น)  อยุ่ที่ว่าตัวน้องจะเจอแบบไหนแระเลือกที่จะคบกะกลุ่มไหนมากก่า ส่วนตัวที่พี่เจอ ก้จะออกแนวไฮโซหน่อยๆมั้ง สังเกตุจากการมีรถเบนซ์มาขับ แระการเปลี่ยนมือถือใหม่อยุ่บ่อยๆ5555 ถ้าระดับกลางก้เจอเหมือนกัน พวกที่ขึ้นรถเมล์กลับบ้านแบบพี่ก้เจอมาแล้ว คือถ้าจะให้สรุปแบบเปนจริงเรยอ่านะ พี่คิดว่ากลุ่มคนรวยในม.นี้จะมีเยอะก่าชนชั้นอื่น เวลาไปไหนมาไหนคณะอื่นถึงได้มองว่าเราเปนเด็กสปอยบ้าง เด็กไฮโซบ้าง

แต่จะบอกอะไรให้นะ สังคมไฮโซมันหนีไม่พ้นทุกที่แหละน้อง โดยเฉพาะคณะอินเตอร์ของทุกๆม.นี่แหละ ค่าเทอมโหดขนาดนี้ หมายความว่าอะไรน้องก้ได้คำตอบแล้ว คือ ถ้าไม่เจอลูกคุณหนูเลยยย นี่คือพี่จะมองว่าแปลกมากกกก เพราะฉนั้นเราอย่าไปกลัวว่าเราเข้ามหิดลอินเตอร์หรือคณะอินเตอร์ของม.อื่นๆที่ไหนก้แล้วแต่แระเราจะใช้จ่ายเยอะเพราะสังคมไฮโซ พี่แนะนำว่าเลือกเพื่อนให้ดี แระอย่าตามเพื่อนมากจนเกินไป อะไรที่เราจ่ายไม่ไหวก้บอกไม่ไหว มันไม่ทำให้เสียเพื่อนหรอก เอาจิงนะถึงค่าเทอมมหิดลอินเตอร์จะแพง แต่ค่าครองชีพแถวนั้นคือถูกมากกกก ข้าวจานล้ะ 25-30 บาท ชีวิตคนในกรุงนี่คือ ปาไปจานล้ะ70ล้ะนะ 55555 เพราะฉนันมันมีข้อดี อย่าไปมองว่าเรียนอินเตอร์มันจะแย่จนเกินไป

คำถาม5: สอบเข้ายากไหม

ต้องบอกก่อนว่า ถ้าเทียบกะคณะปกติที่ไม่ใช่อินเตอร์อ่ะ พวกอินเตอร์จะเปิดรับแนวแบบsimple มากกกก บางม. คณะถึงจะมีให้แอดกลางแต่ก้ รับเยอะมาก ชนิดที่แบบว่าคะแนนไม่น่าเกลียดมากก้ติด ทีนี้ถ้ามองของมหิดลอินเตอร์ ที่นี่เค้าจะหนักไปใช้คะแนนของทาง official test ใช่ป่ะ แบบพวก ielts, toefl ก้จะทำให้คนที่ผ่านข้อสอบพวกนี้มา พอมีภาษาที่ใช้ได้อยุ่พอสมควร ถ้าไม่มีคะแนนพวกนี้ก้จะโดนเด้งไปสอบข้อสอบอังกิดของทางมหาวิทยลัยเอง (MUIC TOEFL) ซึ่งจะคัดเด็กเก่งอังกิดกะไม่เก่งอีกทีจากตรงนี้ ใครที่ติดพีซีก้เตรียมตัวเตรียมใจปรับพื้นฐานซึ่งพี่มองว่าคุ้มแระดี ส่วนถ้าใครติดคอลเลจเลย อันนี้คือ เก่งอิ้งแบบจิงๆ สรุปเรยแระกัน พี่มองว่าไม่ยากหรอก มหิดลอินเตอร์รับเยอะ เพียงแต่น้องติดพีซี หรือน้องติดคอลเลจแค่นั้นเอง พี่เดาว่าน้องๆส่วนใหญ่อยากติดคอลเลจซึ่งมันจะยากตรงนี้นิดหน่อย ยังไงก้สู้ๆแระกันเด้ออ

คำถาม 6: อยากเปลี่ยนโปรแกรมหรือย้ายเมเจอร์ ทำได้ไหม

หืมม เอาจิงๆนะ ถ้าจะเปลี่ยนมันได้อยุ่แล้ว แต่จะเปลี่ยนหรือย้ายโปรแกรมพี่ไม่ค่อยแนะนำให้ทำกันสะเท่าไหร่ โดยเฉพาะจากพวกบีบีเอไปอะไรวิทย์ๆ หรือพวกศิลๆอย่าง faa มาบีบีเอ เพราะมันเสียเวลาต้องทำเรื่องและอีกอย่างคือ มันต้องปรับพื้นฐานวิชาที่required เช่นย้ายไปสายวิทย์ก้ต้องเจอ ฟิสิก เคมี ชีวะ กันหลายตัว บางอย่างถ้าวิชาไหนโอนมาไม่ได้ก้ต้องลงใหม่หมดจย้าาา เช่น เลขของบีบีเอกับเลขของสายวิทย์ แต่ๆๆ ถ้าน้องรุ้สึกน้องเรียนแระไม่ชอบพี่ก้ไม่ว่าอะไร พี่เหนเพื่อนพี่จากสายสังคมย้ายไปวิทย์สิ่งแวดล้อม มันก้รอดของมันและจบมาได้จนถึงทุกวันนี้ เอาเปนว่า อยุ่ที่การปรับตัวว่าจะรับวิชาใหม่ๆได้ไหมเท่านั้นเองง

ส่วนการเปลี่ยนเมเจอร์ เช่นตอนแรกเลือกไอบี แระอยากจะเปลี่ยนมาเปนไฟแน้น ก็ย่อมทำได้เพราะมันอยุ่ในหมวดบีบีเอเหมือนกัน การเปลี่ยนเมเจอร์ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากมายนัก พี่เหนเพื่อนพี่ย้ายหลายคนมากเว่อออ ย้ายกลับบ้างก้มี สิ่งสำคัญคือ มันมีค่าใช้จ่ายและเสียเวลาเด้อออ เพราะฉนันทำอะไรอย่าลืมเรื่องนี้ล้ะ

คำถาม7: ดราม่ามหิดลอินเตอร์ เป็นช้อยที่3ของเด็กไทย จริงไหม ถ้าเก่งจริงต้องแอดเข้า ฬ/มธ และพี่รู้สึกยังไง

เห็นบางคนส่งข้อความมาถามถึงความดราม่า พี่ก้จะขออัพเดทหน่อยล้ะกันเนอะ เนื่องจากมีดราม่าที่บอกว่า ฬ/มธ เป็นช้อยแรกของเด็กไทยเพราะเอ็นเข้ายากสุดและแข่งขันเยอะสุด ระบบก้ดีเพราะเป็นม.ดัง จบออกมาก้มีภาษีดีก่าที่อื่น ดังนั้นควรเลือก ฬ/มธ

พี่ก้เลยจะมาเขียนบอกว่ารุ้สึกอย่างไรกะดราม่านี้ เริ่มแรกเลยนะ พี่ว่าอย่าไปยืดติดกับคำว่าเอนติดไม่ติด ไม่เก่งพอ เข้าไปแล้วจะไม่ drive ตัวเองเพราะหลักสูตรไม่เอื้อให้เด็กแข่งกันเองเด็กจบมาเลยไม่เก่ง เพราะจิงๆสุดท้ายแล้วพี่ว่า การเรียนมันก้ขึ้นอยุ่กะตัวน้องเองในที่สุด จะตั้งใจเรียนหรือไม่ จะเรียนยากหรือง่าย เก่งไม่เก่ง ก้อยุ่ที่ตัวเอง เพราะลองนึกดูว่า ถ้าเราสอบเข้า ฬ/มธ ได้แล้ว เราไม่เก่งสุดในสายชั้น เราไม่drive ตัวเรา ก้จะทำให้เกรดเราห่วย อย่าลืมนะว่าสมัยนี้หลังจบมา บ.ต่างๆจะดูเกรดเป็นหลักนะแจ้ะ ไม่ใช่ม. (ก้ยอมรับว่ามีบ้าง บ.ที่ดู แต่เค้าก้ดูเกรดด้วยจย้า ถ้าเกรดไม่ดีก้บายนาจา) แต่ก้จิงอยุ่ที่ ฬ/มธ พอเข้าได้แล้ว เหมือนระบบการเรียนมันแข่งขัน และตอนสอบเด็กแข่งขันสูงจนทำให้จบออกมาเด็กมีคุณภาพสะส่วนใหญ่ ตรงนี้ให้จำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่น้องคิดแบบนี้ น้องกำลังทำร้ายตัวน้องเองอยุ่ การที่จบจากม.ดังก้ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีคุณภาพเสมอไป ถ้าใครพูดว่าไม่เชื่อหรอก ก้ให้เค้าเชื่อของเค้าไป เราทำตัวเราเองให้ดีที่สุด แระproveว่าเราก้มีศักยภาพเหมือนกันโดยไม่ต้องเอาม.มาบังหน้าให้ใครให้เค้าเห็น เอาจิงที่พิมๆไปก้ไม่ได้บอกว่าตัวพี่เองถูกหมดอ้ะนะ แระบนโลกแห่งความเป็นจริงมันก้ไม่ได้มีถูกมีผิดไปสะหมดหรอก พี่มองแค่ว่าอย่าเชื่อสังคมให้มันมาก แต่เราควรเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันดีที่สุด โดยมองจากมุมมองหลายๆแง่ ไม่ใช่แง่เดียวจย้า พี่เชื่อว่า มหิดลอินเตอร์ถึงจะเป็นช้อยที่3ของเด็กไทย แต่เค้าก้มีดีของเค้าเนอะ ไม่งั้นเปิดมาไม่ได้หรอก30กว่าปีล้ะจย้าาา

สำหรับพี่ที่เคยเรียนร.ร ไทย มาก่อนเข้าที่นี่ ก็ต้องขอน้อมรับว่าตัวมหิดลอินเตอร์นั้น เป้นช้อยที่3ของเด็กม.ปลายจิงๆ เพราะที่เรียนพิเศษไรงิช่ะ ก้จะมุ่งแต่สอบฬ/มธ แล้วถ้าไม่ได้จิงๆค่อยไปมหิดลอินเตอร์ แต่ พี่ก้ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย เพราะมองว่าจบจากที่นี่ ก้ไม่ได้ต่างกะ ฬ/มธ สะเท่าไหร่ สำคัญสุดๆคือเกรดจ่ะ

ส่วนความเห็นจากพี่ว่าม.ไหนดีสุดๆๆๆเลยในไทย พี่มองว่ามันไม่มีอ่ะ ม.ดีๆก้ต้องเรียนต่างประเทศแระแหละ ซึ่งพี่แนะนำว่าให้ลองหาทุนไปเรียนต่อตปท. ดีก่าไทยแน่นอล (อันนี้พี่รุ้สึกงี้จิงๆ ไม่ได้ประชด) เพราะเรียนที่ตปท ไม่ได้มีแต่จดกะจำเหมือนม.ไทยแน่นอล



วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

MUIC admission พร้อมทริคในการสอบเข้า

ข้อสอบของมหิดลอินเตอร์เป็นอะไรที่พี่นั้งหาใน เพื่อนกูเกิล ก่อนสอบและ มันไม่ค่อยมีคนเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เรยย พี่ก็เลยอยากจะเน้นๆให้เลยยยนะ 

สำหรับที่มหิดลอินเตอร์ เราจะแบ่งการสอบตรงในการคัดนร. เข้าศึกษานาจาา ข้อสอบเท่าที่พี่จำได้จะแบ่งเป็นพาร์ทใหญ่มากกคือ อังกฤษ และ อีกหลายๆวิชาที่สอบตอนช่วงบ่าย


ในการสอบเข้า ที่มหิดลอินเตอร์นั้น น้องๆต้องใช้คะแนน ภาษาอังกฤษ ยื่นครับ
ซึ่งหลักๆที่ พี่คิดว่าเด็กส่วนใหญ่ใช้ก็คือ

  1. Ielts ที่มีผล คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 6.0 (score equvalent to or more than 6.0) โดยผลสอบต้องมีอายุไม่เกินสองปีนะ 
  2. Toefl คะแนน 79 ขึ้นไป
  3. SAT คะแนน รวมพาร์writing 1,100 คะแนน 
  4. ข้อสอบของมหิดลที่เค้าจัดทำขึ้นมาเอง (TOEFL Paper base)
สำหรับคนที่ยื่นคะแนนหนึ่งในสามข้อแรก ที่ทางมหิดลต้องการแล้ว ทีนี้ก็ชิลเลยย รอวันเวลา เตรียมตัวให้ดีไปสอบข้อสอบ เลข และ writing

ส่วนสำหรับคนที่ไม่ได้มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ ก้ไม่เป็นไร ทางม. เค้ามีให้จย้า โดยสอบข้อสอบในข้อ4แทนจร่ะ 
เจาะลึก **เน้นๆๆๆ ยิ่งกว่าเน้นใน ข้อ4
พี่อยากจะบอกว่าที่น้องๆต้องจ่ายเงิน สองพันบาท แล้วจะได้mock-up exam มาดู มันอาจจะดูง่ายสำหรับบางคนช่ะ จริงๆแล้วข้อสอบจริงมันไม่ง่ายนะ ทุกคนต้องพร้อมจริงๆ ตอนพี่สอบอันนี้ บอกเลยว่ามึนมากก แต่ก็ต้องโทษตัวเองด้วยที่ไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่นัก เพราะฉนั้น เตรียมตัวดีๆกันน้าทุกคน
 ตรงนี้พี่ฝากทริคนิดนึงไว้นะ อยากให้น้องๆฝึกให้มากๆ ไม่ต้องซื้อหนังสือเล่มใหม่หรอกก เอาข้อสอบพวก ONET, GAT Eng. Ielts, Toefl PDF (หาตามเน็ต อันนี้มีเยอะ)  มานั้งทำดูแนวไปก็ได้ ทำตัวให้ชินกับข้อสอบดีที่สุด พี่ว่าจับเวลาและพยายามทำให้ทันอันนี้ ดีสุดแระ 

  และเผื่อน้องๆสังสัยเอ๊ะและมันจะไปทำได้ยังงายย ลองหาเอาในพวก 4share หรือตามเว็บต่างๆดูก็ได้นะ

ขอยกเป็นตัวอย่างเนอะ นี่เลยย ลิ้งโหลดข้อสอบ TOEFL เป็นแบบ paper base ที่มูอิคเค้าใช้สอบกัน เอาไปฝึกกันนะ ทุกคน  หุหุ


(ต้องขอขอบคุณ เจ้าของเพจข้างบนด้วยนะครับ ช่วยได้เยอะเลย)


เน้นๆ ต่อ พาร์ทข้อสอบอิ้งนี้ เป็นพาร์ทที่สำคัญสุดๆจิงๆนะ เพราะ ระดับอังกฤษน้องจะเป็นตัวตัดสินว่าน้องจะได้ พรีคอลเลจ (pre-college) หรือ คอลเลจ (college) เน้ออ 
     
 แต่ๆๆๆ มันยังไม่จบง่ายๆนะสิ 55555 เพราะสำหรับคนที่ผ่านพาร์ทอิ้งนี้ คือ ติดคอลเลจแล้ว ก็จะถูกแบ่ง 1.ให้ไปปรับพื้นฐาน แบบไม่มีเครดิต วิชา ERS หรือ 2. เริ่มเรียนเก็บเครดิตวิชา EC1ได้เลย ซึ่ง อันนี้ หลักๆเลย มันขึ้นอยู่กับพาร์ท writing ของน้องน้าา

ถ้าคนตรวจข้อสอบแล้ว น้องเขียนดีมากก เค้าก็จะให้ไป EC1 ซึ่งเป็นวิชามีเครดิต
ส่วนคนที่อ่อนการเขียน ก็จะได้ไป ERS เป็นแบบเรียนปรับพื้นฐานกันไปก่อน

แระถ้าถามว่าคนที่ติด ERS ภาษาอ่อนหรอ คำตอบคือไม่นะ พี่คิดว่าทุกคนที่ติดคอลเลจมีศักยภาพพอ เพียงแต่ รูปแบบการเขียนยังไม่ดีพอหรือป่าว เอาเปนว่า คนที่ติดพรีแระสอบได้คอลเลจแระมาติดERSอีกก้มี เพราะฉนั้นอย่าเสียใจที่ต้องเสียเวลาหนึ่งเทอมปรับพื้นฐาน การปรับพื้นฐานนี้พี่คิดว่ามันคุมค่านะจะบอกให้ (หรือใครคิดแบบไหนก้แล้วแต่เลย555 อันนี้ความเหนส่วนตัวเด้ออ...)

 ซึ่งสองวิชานี้พี่เขียนไว้ในอีกพาร์ทนะ 
   ***ขอบอกว่าคนที่ยื่น ielts, toelf ส่วนใหญ่ติดคอลเลจเนอะ แต่ติด ERS กันสะส่วนใหญ่ (พวกที่ได้คะแนน 6.0 part writing อ่ะ เตรียมตัวเตรียมใจเลย) ก็ต้องไปเรียนปรับพื้นฐานตามๆกันไป

   สำหรับพาร์ท เลข พี่บอกได้เลยว่ามันไม่ยากมากก เนื้อหาที่ออกสอบจะอยู่ประมาณม.ปลายๆ และไม่ได้ลึกมาก (ถ้าน้องเตรียมมาหรือ เรียนรร.รัฐ โดยเฉพาะพวกสายวิทย์นี่ได้เปรียบแน่นอลเพราะเลขออกยากน้อยก่าเกินข้อสอบแอดมิดชันเยอะ เด็กๆทั้งหลาย5555)
ซึ่งตอนมัธยม น้องเรียนไปหมดแล้ว เพียงแต่น้องมีเวลาทบทวนบทเรียนเก่าได้ดีมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

   ประเด็นคือ ข้อสอบเลขจะเป็นตัววัดว่าน้องจะได้ระดับเลขอะไรอ่ะนะ ซึ่งถ้าน้องทำไม่ได้เลยยย น้องก็จะติด Refresher Math ถ้าน้องทำได้พองาม ก็จะติด Intensive Math ถ้าน้องทำได้เกินมาตรฐานของข้อสอบ น้องก็จะถูกจัดใน กลุ่มของFundamental Math ซึ่งสองตัวข้างหน้านี้ ไม่มีเครดิตนะครัช เหมือนน้องก็จะต้องปรับพื้นฐาน ซึ่งก็จะต้องเก็บแบบไม่มีเครดิตกันไปเทอม ถึงสองเทอม ถ้าติดอ่านะ สำหรับพี่ ถ้าถามว่าควรจะสอบให้ได้เลขระดับไหน พี่อยากบอกว่า เราควรตั้งใจสอบให้ไปเวลของfund math เลยนะ พี่เชื่อว่าเด็กรร.ไทย พวกหลักสูตรไทยทำได้อยุ่แล้ว เพราะพวกข้อสอบแอดมิดชันยากก่าเยอะะ สำหรับเด็กที่มีพื้นฐานเลขอ่อน หรือ ไม่ชอบเลขเรย ถ้าอยากจะปรับพื้นฐานก้ไม่ว่ากันจย้าา


ประเด็นคำถามยอดฮิตที่เจอน้องๆถาม ส่วนใหญ่ถามว่า ถ้าทำเลขไม่ได้ ยังติดคอลเลจไหม

 คำตอบจากพี่เลยนะ มันไม่เกี่ยวกันชัวๆเลยและกัน (เอาสัก95%ติดคอลเลจแน่ๆ) เพราะผลสอบเลขจะเป็นตัววัดว่าน้องอยู่ระดับไหนและสมควรเรียนปรับพื้นฐานเลขไหมแค่นั้นเอง

เอาเปนว่าพี่จะแนะนำให้เตรียมตัวดีๆๆ อย่าพลาดมาก ถ้าไม่อยากเสียเวลาปรับพื้นฐานอ่านะ เพราะถ้าเสียเวลาปรับ มันก้จะเสียไปเทอมหนึ่งเลยนะ โอกาศจบ3ปีครึ่งก้น้อยลงไป (อันนี้เผื่อใครอยากจบแบบรวบรัด555)



**อ๋อ ขอเสริมตรงพาร์ทสัมภาษณ์สำหรับคนติดแล้วกันเนอะ
ตรงนี้บอกเลยว่าแนะนำอะไรไม่ได้มาก เพราะจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่รอนานมากก5555 แระตอนที่โดนสัมภาษณ์มีอจ. 3 คน จะมาสัมภาษณ์เรา ถามเราเกี่ยวกับเมเจอร์ที่เราเลือก แบบ ทำไมเราเลือกเมเจอร์นี้ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เลือกเมเจอร์นี้ ถามเกี่ยวกะรร. กิจกรรมที่ทำ ทำไมถึงเลือกมหิดลอินเตอร์ ต่างๆที่จะเจออีกมากมาย

ต่อไปก็จะลองขอเก็งคำถามให้แระกานน (อาจไม่ตรงมากนะเพราะ พี่คิดขึ้นมาเอง ตรงมากน้อยเพียงใด มาบอกพี่ด้วยเด้อ)

คำถามแนว ศศ. ก้แบบ คิดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้มากน้อยแค่ไหนเทียบกับก่อนและหลังเข้าASEAN แรงงานพม่าแทนที่ไทยได้ไหมคิดว่าไง คิดยังไงกะนโยบาย attracting Chinese tourism มันมีผลกระทบต่อไทยยังไง มีหลากหลายคำตอบมากกก (ถ้าน้องตามข่าวอ่านะ555) ไม่มีถูกผิดด้วยมั้งง เพียงแต่จับโยงให้มันดูมีเหตุแระผลหน่อยแระกัน เช่น ก่อนอื่นเรยต้องบอกว่าtourist sector ที่ไทยกำลังโปรโมทนั้นเติบโตด้วยนักท่องเที่ยวประมาน 11%ของ GDP พี่คิดว่าก้ดีเหมือนกันนะในการที่ปท.ไทย ดึงนักท่องเที่ยวจีนมา ในแง่มุมของการกระจายรายได้ (income distribution) เพราะอย่างที่รุ้ๆกันสมัยนี้นักท่องเที่ยวจีนมีกำลังซื้อมากมาย ปท.ไทยตอนนี้ ก้ต้องการเงินไหล (capital inflow)เข้าปท.เพื่อฟื้นฟูหลังจากtomyum crisisบ้างแหละ(ถึงมันจะนานมากแระนะ แต่ปท.ไทยยังฟื้นไม่เต็มที่ สังเกตุได้จากการลงทุนต่างชาติ FDIอ่ะแหละ ไม่ค่อยเข้ามาไทยเท่าไหร่ถ้าเทียบกะปท.อื่นๆเช่น เวียดนาม อินเดีย) แต่ๆๆ ถ้าต้องการอันนี้ (เงินไหลเข้าปท) ก้คงต้องแลกกะ อัตราเงินเฟ้อแหละนะ เพราะno free lunchนิเนอะ ถึงยังไงอัตราเงินเฟ้อมันไม่ใช่ประเด็นที่น่าเปนห่วงสักเท่าไหร่ เพราะ BOT(รุ้จักกันใช่ไหม555) ต้อง target inflation อยุ่แล้วมันเปนหน้าที่ของเค้า
                     ส่วนตัว พี่มองว่าไม่ใช่จะปล่อยให้คนจีนทุกคนเข้ามาได้ อย่างน้อยต้องมีคัดกรองบ้างแหละ เพราะคนจีนบางคนมาบ้านเราก้ไม่ยอมใช้จ่าย เอาของฟรีไว้ก่อนหรือไม่ก้ยอมจ่ายหรือจ่ายน้อย แระบอกเรยคนจีนทำอะไรก้ได้ ลองมองย้อนกลับไปสมัยก่อนเส้ คนจีนมาบุกไทย บางคนมาแต่ตัว แระอดทนเก็บออม เก็บเงินแระก้มีดีจนถึงทุกวันนี้ อันนี้ก้อาจจะไม่ตรงประเด็นหลักของincreasing income distribution in short-run แต่ในlong-runไม่แน่ๆ (ไม่ได้จะบอกว่าคนจีนจะมาแย่งงานที่ไทยนะ ไม่เกี่ยวกัน555 เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า ไม่ใช่คนจีนทุกคนมาเที่ยวแระจะยอมจ่าย หรือเปย์แบบสุด ก้ต้องยอมรับว่าบางคนขั้น งก ก้มีนะเออ) เพราะฉนั้นรัฐต้องออกมาควบคุม นโยบาย กฏหมายต่างๆนาๆควรปรับให้เข้ากะนักท่องเที่ยวจีน แระทีนี้ รัฐจะทำอะไรได้บ้างแหละ พี่มองว่า ปท.เรานั้น นอกจากมีผลผลิตของผลไม้ต่างๆที่ชาวจีนชอบ เช่น ทุเรียนแล้ว ไทยยังคงขาดความเป็นoriginal สินค้าพื้นบ้านเรามีก้จิง แต่บางอันก้ไม่ได้รับการโปรโมทมากมาย ดังนั้น รัฐต้องimplement infrastructure เพื่อรองรับ technology โปรโมทให้ทันยุคตามสมัยแบบพี่จีน เช่น cashless payment อะไรงี้ อีกอย่างที่รัฐทำได้คือ เข้าไปแทรกแซง หรือที่เรียกว่า set price floor เพื่อช่วยส่งเสริมในการกระจายรายได้ ประมานนี้ๆๆ (ความคิดเหนส่วนตัวล้วนๆเด้อ)

ถ้าคำถามเชิงธุรกิจหน่อย เปนพี่ พี่จะถามว่าอะไรคือ current business trends น้องก้ลองไปศึกษาดู พี่แนะนำได้แบบว่า เด่วนี้ก้จะมีธุรกิจแนว Omni-channel หรือ อะไรที่เกี่ยวกะสุขภาพ ฟิตเนส ต่างๆนาๆ ร้านอาหาร คาเฟ่ ก้มาแรงสมัยนี้ 5555

ถ้าสายสังคม พี่ก้แนะนำให้ลองไปดูพวก บทบาทของ WTO, UN แระผลกระทบต่อปท. ไทยดู ไม่ก้เน้นไปที่ Trump  นี่เรยเพิ่งผ่านไปหยกๆ ประเด็น trade war ที่นางปั่นป่วนทั่วโลก5555 ลองไปตามๆกันดู ส่วนหัวข้ออื่นไม่รุ้มากอ่ะ ลองไปดูๆกันเองเนอะ ^^

อ่อออ เห่ยย อีกอย่างถ้าใครอยากเอา Portfolio ไปด้วยก้เอาไปได้นะ ตอนพี่ พี่ก้เอาไป แต่อจ.ไม่ได้ดูเยอะเท่าไหร่ เปิดแบบผ่านๆ รูปไหนน่าสนใจก้ถามๆๆ สรุปถ้าเอาไปและมันสบายใจก้เอาไปนะ

ตอนที่พี่โดนสัมภาษณ์ เจออจ.ใจดี ซึ่งเค้ารู้ว่าพี่ตื่นเต้น เค้าก็หัวเราะๆออกมา ทำให้พี่หายตื่นเต้นไปเยอะเลยย แหะๆ

สรุป รวมๆแล้วชิลๆอ้ะพาร์ทนี้ พี่แนะนำว่าให้น้องๆอย่าไปเครียด ยิ่งเครียดยิ่งตอบไม่ได้นะเออ พยายามเปนตัวของตัวเอง ไม่ต้องเขิน เวลาตอบก้ตอบแบบมั่นๆ (ถึงคำตอบมันจะผิดอ่านะ ถ้าไม่รุ้คำตอบจิงหรือมันคิดไม่ทัน แนะนำให้น้องเริ่มด้วย น้องเชื่อว่า (I believe)....อะไรก้ว่าไปปป)



ปีที่พี่สอบ เป็นปี 2013 นะ อาจจะดูเก่าๆหน่อย แต่รับรองไม่เปลี่ยนไปเยอะหรอก

สุดท้ายนี้เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามูอิคนะคับ สู้ๆๆ 😉

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

แชร์ความคิดเห็นโปรแกรมอินเตอร์ของแต่ล้ะม. มาดูกัน!!!

เอาจิงนะ มันคงไม่มีใครอยากเปรียบเทียบสถาบันการศึกษาหรอก แต่ถ้าคำนึงถึงตัวผู้เรียนแล้วอ่ะ พี่ว่าก็ควรจะมีรีวิวนิดๆหน่อยๆกันบ้างไหม ไม่งั้นมันก้จะไม่มีคนรู้เลยว่าเข้าไปเรียนจิงๆแล้วเปนไงบ้าง ไหวไหม หลักสูตรจิงๆดีไหม บลาๆๆ บทความนี้ก็เรยจะมาแอบเปรียบเทียบโปรแกรมอินเตอร์ของแต่ล้ะม. ว่าตัวพี่เองรุ้สึกยังไงบ้าง เอาเป็นว่าพี่ก้อาจจะไม่รุ้ไปทุกม. หรอก เอาม.ที่ส่วนตัวพี่เองมีประสบการณ์แล้วกันเนอะ ซึ่งก็ขอบอกตามตรงว่าบางหลักสูตรพี่ก็แอบอิงมาจากเพื่อนๆที่เรียนต่างม. ในคณะอินเตอร์ต่างๆด้วย บางหลักสูตรพี่ก็เคยมีเข้าไปนั้งเรียน และบางหลักสูตรก็เคยมีไป open house ด้วยนะเออ เอาเป็นว่าถ้าอ่านแล้วน้องๆได้ประโยชน์พี่ก็คงดีใจ 555


เริ่มแรกเรย พี่ขอบอกข้อดีก่อนล้ะกันว่าทำไมต้องเลือกเรียนอินเตอร์:
1. การสอบเข้าไม่ได้แข่งขันสูงมากเทียบกะภาคปกติ
2. ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เยอะมว้ากก ถ้าเทียบกะการเกบกระเป๋าไปต่อนอก
3. Connection ที่ส่วนใหญ่หาได้จากอินเตอร์ เพราะหลายคนมีธุรกิจเปนของตัวเอง
4. เพิ่มทักษะการใช้ภาษามากขึ้น มีโอกาศที่จะพัฒนาอิ้งแระภาษาที่3ได้มากก่าเรียนภาคปกติ
5. แลกเปลี่ยนต่างประเทศได้ ตรงนี้หลายม.มีโปรแกรมแลกเปลี่ยน ขอให้น้องศึกษาให้ดีๆเพราะแต่ล้ะมฺ ต่างกัน
6. ถึงไม่แลกเปลี่ยนก้มีเด็กต่างชาติเข้ามาเรียนกะเรา ซึ่งทำให้มีเพื่อนต่างชาติเพิ่มขึ้น ชนิดที่แบบว่าไม่ต้องไปทำกิจกรรมก้หาได้ในห้องเรียน 555
7. จบมาเด็กอินเตอร์มีโอกาศได้งานบ.ต่างชาติเยอะเพราะมีภาษาเปนbackground

 ทีนี่พอข้อดีร่ายไปแระ พี่จะเปรียบเทียบมหาลัยอะไรดีล้ะ
ตัวพี่เองจากประสบการคนรอบข้างก็ร่วมรวมข้อมูลมาได้ แระขอถ่ายถอดการรีวิวดังนี้

1. จุฬา (CU)
2. ธรรมศาสตร์ (TU)
3. เอแบค (ABAC)
4. กรุงเทพ (BUIC)
5. เกษตร (KU)
6. Stamford
7. MUIC

อย่าลืมม!! จุดประสงค์ของพี่คือไม่ได้จะมาว่าหรือจิกกัดมหาลัยต่างๆ อุ้วว พี่จะทำแบบนั้นไม่ได้ เด่วเด็กๆม.นั้นดิ้น เก็บกดมาตบพี่กลางสี่แยกไฟแดงทำงายยล้ะ 55555 ก็เรยจะบอกถึงความรุ้สึกส่วนตัวที่เคยไปนั้งเรียน เคยไปopen house +เพื่อนๆของพี่ที่เรียนอยู่แระกันเนอะ 

ก่อนอื่นเรย เราจะพูดถึง “” น้ำใจน้องพี่สีชมพู ที่พี่เชื่อว่าทุกคนและสังคมไทยชอบม.นี้กันมากก จุดเด่นของม.นี้เรย คือ เด็กเก่งเยอะมว้ากเพราะการสอบเข้า แข่งขันกันสูงเหลือเกิน ถึงจะภาคอินเตอร์ของ ฬ ที่พี่คิดว่ามีโอกาศมากก่าแอดมมิดชั่นกลางแล้ว ก้ยังคงต้องแข่งขันและคัดกันอีกทีเพราะมีการจำกัดที่ในการรับ
ปัจจุบันม.นี้หลักสูตรอินเตอร์จะไม่ได้เปิดแยกออกมาแบบตัวของมหิดลอินเตอร์ แต่เปิดตามคณะ ซึ่งถ้าถามพี่ว่าหลักสูตรไหนน่าสนใจ พี่เดายากมาก เพราะเพื่อนๆที่เรียนที่นี่จะมีความภูมิใจเปนเด็ก ฬ สูงมากก ว่าด่าม. ตัวเองไม่ได้ 5555 พี่ก้เรยบอกเรยแระกันว่าน่าสนใจหมดทุกหลักสูตรลองไปดูตอน open house เอาล้ะกันว่าชอบบรรยากาศรอบคณะไหม บางคณะตึกเก่า คอมเก่า น้องอาจจะไม่ชอบก้ได้ แต่เอาเปนว่า ถ้าใจเรามันชอบ ฬ เราก้จะมองข้ามสิ่งไม่ดีของม.นี้ไปในที่สุด ฮาาาา

แต่ๆๆ มันดันมีหลักสูตรหนึ่งที่พี่พอพูดถึงได้ เพราะพี่เคยมีความหลังกะหลักสูตรนี้ หลักสูตรนี้ก้คือ EBA Chula 5555 พอดี รุ้จักน้องๆคณะนี้เยอะพอสมควร ก้คือหลักสูตรนี้เผื่อใครสนใจพี่ก้ขอโปรโมทให้เค้าแระกัน 555 เอาเปนว่าหลักสูตรนี้คือเรียนเกี่ยวกะอีค่อน หรือ เศรษฐศาสตร์ ภาคอินเตอร์นี่แหละ ไม่มีการแยกเปนเมเจอร์หรือว่าอะไร ก้คือถ้าจะเรียนคืออีค่อน 1 2 แตะเมเจอร์อีค่อนอื่นๆอีกนิดๆหน่อยๆ ซึ่งแล้วแต่เราจะเลือกวิชาตอนปี3-4 ว่าจะเรียนอะไรในแขนงอีค่อน เช่น เรียน international trade แระ public econ แต่ถามว่าโอเคไหมที่หลักสูตรเปนแบบนี้ เอาจิงก้โอเคนะมันไม่ได้เลวร้ายมากขนาดที่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เรย มันก้ทำให้เรารุ้แบบกว้างๆเรยอ่ะ ซึ่งเอาจิงถ้าตอนทำงาน เราจับไปใช้ได้บ้างแหละ ใครสนใจหลักสูตรนี้ก้คลิกเรยยย: http://www.eba.econ.chula.ac.th/ ส่วนค่าเทอมตกพอๆกันกะมหิดลอินเตอร์เรยจ้า ล่าสุดที่พี่ได้ยินคือ เทอมล้ะ 80,000 บวก ซัมเมอร์ที่เพื่อนพี่บอกต้องลงอีก 30,000 ก้คำนวนกันเองล้ะเอง เมื่อยมือพิม อิอิ

**อ่า เผื่อน้องคนไหนยกมือ "พี่ค้าบ แล้วมันต่างจาก อีค่อนของตัวมหิดลอินเตอร์มากไหม" บอกเลยว่า มันคนล้ะแขนงกัน ของที่มหิดลอินเตอร์ ภาค อีค่อน จะเปน ศศ.ธุรกิจ ซึ่งเราจะเรียนบริหารธุรกิจช่วงปี1-2 แล้วไปให้อจ.เคาะความรุ้อีค่อนตอนปี 3-4 หรือจะบอกได้ว่ามันก็จะกึ่งๆแนวบริหารครึ่ง อีค่อนครึ่งนึงอ่าแหล่ะ ส่วนตัว คิดว่า ของตัวมหิดลเองจะไม่ได้เจาะลึกไปที่ economics theory หรือเน้นการทำวิจัย มากเท่าของ ฬ คือ ไม่ได้บอกว่า มหิดลไม่เจาะลึกนะ ที่เรียนมาก็ค่อนข้างลึกพอสมควร แต่ที่รุ้สึกชัดเจนมากคือการที่MUICจะเน้นไปในการ apply knowledge ในมุมมองของภาคธุรกิจมากกว่าจ้าส เช่น การคำนวนต้นทุน /การลดต้นทุน ผ่าน case study ประมานนั้น

ต่อมาาา ธรรมศาสตร์ อินเตอร์ ที่พี่จะพูดถึง พี่ขอแตะๆแค่ของ siit ล้ะกันนะ ถ้า BMIR, BE อะไรแบบนี้จะไม่รุ้จักเท่าไหร่ เพราะเพื่อนๆพี่อยุ่ si กันเยอะมากก

แบบว่า SIIT มีความคล้ายตัวมหิดลอินเตอร์สูงมากก คือเค้าเปิดมาเป็นวิทยาลัยนานาชาติเดี่ยวๆเหมือนกันเลยย แต่เหมือนจะเน้นไปวิศวะ ซึ่งมูอิคไม่มี5555 เอาเปนว่าจุดเด่นของภาคอินเตอร์ที่นี่ คือ เปนวิศวะอินเตอร์ที่ใครสอบไม่ว่าจะสายวิท สายศิล ก้ติดกันละเนละนาด แต่เดกซิ่วก้เยอะเหมือนกันเพราะตายกันระนาบเมื่อเจอพวกฟิสิก เคมี ชีวะ เดกที่เหลือรอดอยุ่คือการดำรงชีวิตด้วยการเรียนพิเศษหน้าม. หรือ การที่ได้รับความเมตุตากรุณาจากอจ. หรือเก่งแบบจิงจังขยันแบบสุดโด่ง แต่ถึงจะว่างั้นว่างี้ พี่ว่าถ้าน้องจบมาได้คือ หินมากกกก เพราะอย่าลืมว่านี่คือวิศวะ แระใบวิศวะนี่ทำอะไรได้เยอะมากก แระทีนี่เดกsi ก้จะมีคู่แข่งกะเดก tepe ที่เปนตัวของวิศวะมธ หลักสูตรอินเตอร์อีกทีด้วยแต่ขอไม่เน้นล้ะกันนน ปัจจุบันค่าเทอมของที่นี่ เทอมล้ะ 90,000 บาท พี่ไม่รุ้ว่ามีซัมเมอร์ด้วยไหมไปเช็คกันเองล้ะกันนาจา ลิ้งค์เผื่อใครสนใจ https://www.siit.tu.ac.th/

ต่อปายยยย....เอแบค เป็นม.ที่พี่คิดว่า เค้ารับคนง่ายมว้ากก แทบเรียกได้ว่าไม่มีการแข่งขันเรย แต่ไปแข่งขันกันตอนเรียนสะมากก่า เพราะด้วยความที่เค้าไม่ค่อยคัดคนเท่าไหร่ ก้ทำให้เด็กๆในนั้นมีความเก่งแบบหลากหลายมากกก เด็กที่ไม่เก่งก้ตายๆกันไปเยอะก้มี เอาเปนว่าเด็กเก่งที่เลือกเอแบคเพราะได้ทุนก้มี! เอแบคให้ทุนเดกเยอะมากกกก แระพี่ก้รุ้ว่าหลุดทุนกันเยอะเหมือนกัน ซึ่งพี่เดาว่าส่วนใหญ่เข้าไปแล้วเรียนหนัก เรียนไม่รุ้เรื่อง อจ.สอนไม่เข้าใจ ติดเพื่อน บลาๆๆ (ซึ่งเอาจิงก้เปนกันทุกม.แหละ) แระการรักษาทุนมีเงื่อนไขยิบย่อย แบบต้องรักษาเกรดนุ้นนี่ ก้ทำให้เดกเรียนปานกลางแต่ได้ทุนหลุดทุนได้จย้า สิ่งที่เอแบคคล้ายมากกะมูอิคคือ เราทั้งสองเปนสถาบันที่เริ่มหลักด้วยหลักสูตรอินเตอร์กันทั้งคู่ ไม่ใช่แยกคณะแบบ ม.อื่นๆ หลักสูตรต่างๆเอแบคมี มูอิคก้มีจย้า แค่แอแบคจะออกแนวกว้างก่า แระพี่ก้เหนส่วนใหญ่เดกๆเลือกกันก้จะมีบัชญี ไม่ก้นิเทศ สิ่งที่เอแบคมีดี คือเด็กจีนเยอะ (มูอิคไม่ค่อยมี) ซึ่งถ้าใครอยากได้ภาษาจีนก้ม.นี้โลดดด ส่วนค่าเทอม เท่าที่พี่รุ้ล่าสุดคือ 60,000 บวกๆอัพ

ต่อมาอี้กก ม.กรุงเทพ อินเตอร์ เปนม. ที่พี่รุ้จักแต่เพื่อนเรียนนิเทศกันอยุ่เยอะมว้ากก พี่ก้เรยเดาว่าหลักสูตรนิเทศอินเตอร์ของเค้าน่าจะดี ดีในที่นี่หมายถึงความพร้อม พวกอุปกรณ์ต่างๆนาๆ จุดแตกต่างที่ทำให้ม.นี้เด่นดั่งดั้งจมูกที่หมอศัลยอมทำให้ ก้คือ เค้ามีของ แระสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกเย้อะมากก อีกอย่างที่พี่ได้ยินมาอีกก้คือ ฝรั่งเยอะมากกก และเฟรนลี่ ซึ่งถ้าน้องชอบพูดคุย ก้อ่าเครเรย ส่วนค่าเทอมได้ยินล่าสุดมาว่าปีล้ะ แสนบวกๆ ก็น่าจะเทอมล้ะ 5หมื่น-6หมื่นได้แหล่ะ (ปกติตามเกณของหลักสูตรอินเตอร์ทั่วไปนะเอาจริง)

ม.เกษตร อินเตอร์ หรือ EEBA ขอรีวิวECONแระกัน เพราะคณะอื่นพี่ไม่มีเพื่อนอยุ่ เอาเปนว่าเหนเพื่อนบอกเพิ่งเปิดตึกใหม่ไป ก็หมายความได้ว่าอาจจะน่าเรียนขึ้น สิ่งที่ม.นี้แตกต่างจากหลักสูตรอื่นเรยก้คือจะมีหลักสูตรแบบเปน agricultural economics ซึ่งพี่คิดว่า เห้ยย ดูน่าสนุกดีเจิงงๆ อีกอย่างคือ มีการแข่งขันการรับเข้าระดับนึงซึ่งก้จะทำให้มีเด็กเรียนค่อนข้างเยอะ ส่วนค่าเทอมตกเทอมล้ะประมาน 70,000 บวกลบ อัพๆ ไม่รุ้เหมือนกันว่าสุดๆแล้วเท่าไหร่ ฮาาาา นี่เว็บ www.eeba.eco.ku.ac.th/

แสตมฟอ์รด หรือมหาลัยน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานมาก ชื่อจิงๆของเค้าคือแสตม ไม่ใช่แสตนฟอด 5555 ซึ่งเปนม. อินเตอร์ แยกหลายหลักสูตร มีการจัดการการบินให้เรียนด้วยนะเออ เอาเปนว่าหลักสูตรที่เค้าก่อตั้งขึ้นมาพี่เชื่อว่า น่าจะปรับให้เข้ากะยุคปัจจุบัน ยังไงก้ลองไปดูหน้าเว็บ เค้าได้นาจา สิ่งที่ดีอีกอย่างเกี่ยวกะม.นี้คือ มีอยุ่ที่ภูเกตซึ่งถ้าใครเคยไปจะพบว่านี่คือดินแดนของฝรั่งอั้งม้อเรยแหละ 5555 ใครสนจายย นี่เรยยย https://www.stamford.edu/th/ ส่วนนี่ค่าเทอม https://www.stamford.edu/th/tuition-fee/

ส่วนถ้าพูดถึง มหิดลอินเตอร์ ภาคไหนน่าเรียน พี่บอกเรยว่าน่าสนใจทุกหลักสูตร แล้วแต่เราเลือกเรย! คือพี่ก้ไม่รุ้ว่าทุกคนชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่ขอเขียนหลักสูตรคร่าวๆแล้วกัน
การโรงแรมของมหิดลนี่ดูเค้าโปรโมทจิงไรจิง เด็กการโรงแรมจะเรียนทุกอย่างเรยที่พอจบไปแล้วบริหารโรงแรมได้ หรือ ถ้าจะเอาพวกวิทย์อาหาร (food science) ไรงี้ก้สนุกสนานกันไปเหมือนกัน มีเข้าแลป ทดลองทำอาหาร หรือวิจัยพวกสารกันบูด กับการแปรสภาพของอาหารก้ดูคูลลดีนะ ส่วนบีบีเอเปนโปรแกรมที่อจ. แระบุคลากรของมูอิคกำลังทำเรื่องให้ผ่าน AACSB หรือ การประเมินจากต่างชาติอยุ่ ซึ่งถ้าผ่านก้เรียกได้ว่าแข่งกะที่อื่นได้ไม่แพ้กันแน่นอล ถ้าสายสังคม น้องจะรุ้ได้ว่าเถียงประเด็นต่างๆกันในคลาสไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ มันต้องมีสักคลาส แระไปเถียงกันต่อตรงบรรไดทางขึ้นทางลง 5555  ส่วนเรื่องการแอดมินชั่น มูอิคจะเน้นไปแบบว่ารับทุกคนสะมากก่า แต่จะออกแนวแยกว่ารับเปนเด็กพีซี (เรียนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ) หรือเข้าไปเรียนปี1ได้เรยสะมากก่า ซึ่งตัวมูอิคเองจะค่อนข้างติดยาก อ่อค่าเทอม แล้วแต่เราลงอ่ะ หน่วยกิตล้ะ 2,500 แต่ล้ะวิชามี4 หน่วยกิต ก้คูณไป แล้วแต่เราจะลง สุดๆแล้วไม่น่าเกิน 70,000บ ต่อเทอมสำหรับบีบีเอ ส่วนถ้า FAA เหยียบแสนจย้าาา.... ยังไงไปศึกษากันดูอีกที นี่เว็บ www.muic.mahidol.ac.th

สุดท้าย ท้ายสุดดเลยล้ะกัน ฝากไว้ว่า มันไม่มีหลักสูตรอินเตอร์ที่ไหนดีที่สุดหรอกเพราะสุดท้ายแล้วมันขึ้นอยุ่กะผู้เรียนล้วนๆว่าเรียนแล้วจะกอบโกยอะไรจากอินเตอร์ได้บ้าง และอย่าลืมว่าเราไม่ได้เรียนต่อนอก เรายังอยุ่เมืองไทยเพียงแค่การเรียนอินเตอร์ มันเทียบกันไม่ได้อยุ่แล้วถ้าจะต่อนอก แต่การเรียนอินเตอร์ในไทยจะทำให้น้องล้อมรอบอยุ่ในบรรยากาศของอิ้งspeaking ซึ่งเพิ่มโอกาศในหารเพิ่มศักยภาพฝึกฝนอังกิด  ส่วนตัวแล้วพี่มองว่าถ้าน้องชอบอินเตอร์ของที่ไหนก้ แอดโลดดด 

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เตรียมตัวหางาน สำหรับเด็กที่กำลังจบและเพิ่งจบ

สวัสดีน้องๆทุกคน โฮ่วๆๆ ช่วงนี้ก็คงเป็นช่วงปิดเทอมของน้องๆทั้งหลายเนอะ ถ้าน้องๆที่จบแล้วพี่ขอยินดีด้วยน้าาา 4ปีนี่มันโหดมากๆ (พี่เข้าใจพวกแกเป็นอย่างดี และขอต้อนรับสู่โลกแห่งความจิง555)


ในโพสนี้ พี่จะแนะนำเรื่องงานให้น้องๆว่าควรเริ่มหายังไงดีเน้อ เพราะตอนที่พี่จบใหม่นี่เงิบแดกมาก อะไรแว่ะ ก่าจะหางานได้นี่มันยากขนาดนี้เรยหรอ สิ่งที่คาดหวังว่า จบมาแระบ.มาแย่งตัวเรย โน่วเลย ไม่มี.... ดังนั้น โพสนี้เหมาะกับคนที่ใกล็จบหรือจบแล้วแต่ไม่รุ้จะเริ่มหางานยังไงนะ

อย่างแรกเลยที่พวกแกต้องมีคือ ความขยัน ไม่นอนอยุ่แต่ที่บ้าน 55555 ขอให้รุ้ไว้ว่าถึงพวกแกจะจบไปแล้ว แระคิดว่าจะมีเวลามหาศาลให้หางาน คุณคิดผิดนาจาาา ความจิงบนโลกนี้มันไม่ได้สวยหรูแบบทุ่งราเวนเดอของพี่ริต้านะว่อยย 5555

ไม่หรอกก จะพักสักเดือน ไปทริปอะไรงี้ก้ไปเถอะ (ก้เรียนมาเหนื่อยนิเนอะ ต้องพักบ้างจิ) แต่ขอให้รุ้ว่ามันควรมีจุดจบของการพักแระออกตามล่าหางาน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดีนะน้องๆ

เหตุผลที่พี่ต้องบอกแบบนี้เพราะว่า
1. บางบริษัทใหญ่ๆ เค้าเปิดรับปีล้ะครั้งนะจ่ะ แระปีถัดไปเราสามารถการันตีว่าเค้าจะเปิดรับอีก บางที่เปิดรับคนล้ะตำแหน่ง ก้อาจจะสมัครไม่ได้เพราะเค้าอาจจะเปิดรับตำแหน่งอื่น หรือเรียกวุฒิคนล้ะวุฒิกะที่น้องถืออยุ่ก็อาจจะเป็นได้นะเออ
2. บางที่ต้องเตรียมตัวสอบพอตัว เพราะก้จะมีข้อสอบทางการของบ.นั้นๆ แระก่าจะได้รุ้ผลก่าจะเรียกสัมพาด บลาๆๆ ก้กินเวลา อาจจะเปนไปได้ถึงสองเดือนนะเออ 
3. ยิ่งได้งานเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่น้องๆจะเติบโตไปกะสิ่ง ที่บ.อื่นๆบ้ากันมาก นั้นก้คือ "ประสบการณ์ปีของการทำงาน"

อ่า..อ่านมากันถึงจุดนี้ พวกแกคงคิดว่า เออ มันดูซีเรียสแนะ (อ่ะรุ้ทันพวกแกบางคนที่บอกว่า พี่ผมไม่คิดงี้ง่ะ อันนี้ ย้อนกลับไปอ่านใหม่ ตั้งสติแระ ถามตัวเองว่าเข้ามาอ่านทำไม เพราะนั้นเปนตัวบ่งบอกว่าพวกแกยังไม่ได้อยากหางานพอตัว555555)

โฮกกก...ลากกลับมากลับมาตรงนี้ แระทีนี้จะทำยังไงอ่าพี่???

พี่บอกเลย สำหรับเด็กที่เข้ามาอ่านก่อนจบนะ จะมีชัยไปก่าครึ่งเพราะพี่จะแนะนำเป็นข้อๆเรยว่าควรทำไรบ้าง สำหรับเด็กที่เพิ่งจบใหม่ ก้ทำตามไป มันอาจจะช้าหน่อย เพราะมาเตรียมทีหลังไง (ถ้ามีคนแนะนำแล้วหรือมันไปซ้ำกะในเน็ตบางที่ก้ขออภัย แต่ต้องบอกเลยว่า พี่เขียนเพราะหวังดีจิงๆก้อยากให้น้องๆทำงานเร้วๆคืนทุนพ่อแม่งายยย)

อ่ะ นี่คือสิ่งที่พี่อยากให้พวกแกต้องเตรียมเอาไว้
1. ก่อนอื่นเราลองมองหาสิ่งที่เราชอบ/ไม่ชอบมาก่อน หามาให้ได้อย่างล้ะ5ข้อ แระลองหาตามเน็ตว่ามีอาชีพไหนบ้างที่เราทำได้ อันนี้พี่บอกเรยว่าพี่ทำมันได้แย่มาก เพราะพี่ไม่รุ้จิงๆ พี่ก้เรยโทรถามเพื่อนๆแระให้มันบอกว่าเรามีดีมีเสียอะไรบ้าง เพราะคนรอบตัวเรานี่แหละจะเปนคนบอกว่าเราเปนคนยังไง บางทีเราไม่ได้อยุ่กะตัวเองมากพอไง พอรุ้ตัวอีกทีก้โอ้วว "ชัลไม่รุ้ใจตัวเอง สะแล้ว" 5555 อีกอย่างที่แนะนำได้ในโพสนี้ คือ ลองเข้าไปทำพวก attitude test ตามเน็ตแระดูผลว่าเราเปนคนยังไงกันแน่

อันนี้ก้สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในการใช้สัมพาดของบ.บางที่ได้เช่นกัน เพราะบางที่เค้าอยากรุ้ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร (คำถามเชิงนี้จะวัดว่าตัวน้องรู้จักตัวตนของตัวเองมากแค่ไหนนั้นเอง)

2. Resume 
เรซูเม่เป็นอาวุธอันดับแรกของเด็กจบใหม่เรยก้ว่าได้ เพราะอะไรน้ะหรอ เพราะว่าจะไปสมัครบ.ต่างๆ เค้าต้องดูประวัติย่อยๆจากตัวคุณไง ถ้าจะทำให้รุ้ก้ต้องเขียนเรซูเม่ เพราะมันเป็นสิ่งแรกที่บ.จะดู แระตัดสินว่าคุณทำงานให้เค้าได้ไหม ส่วนวิธีการเขียนเรซูเม่ก้มีมากมาย template พวกแกไปหาตามเน็ตเอาเนอะ พี่แนะนำว่า เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เราควรใส่ 1. Personal information เป็นส่วนของตัวเราเอง บอกว่าเราเกิดเมื่อไหร่ มีแฟนยัง ผ่านเกณทหารไหม (สำหรับผช) แระข้อมูลต่างๆที่บอกคร่าวๆให้บ.รุ้เกี่ยวกะตัวเรา  2.objective and summary of qualification พาร์ทนี้ คือสำคัญมากกกกกกกก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เค้าจะตัดสินว่าน้องมีความสามรถกะตำแหน่งที่เค้าค้นหาอยุ่หรือป่าว แระเปนตัวที่เพิ่มโอกาศให้กะน้องๆในการเรียกสัมพาดงาน.. objective คือบอกว่าเราหางานอะไรคร่าวๆ เราอยากทำงานอะไร เช่น จบการเงินมา ก้อยากทำการวิเคราะห์งบการลงทุนไรงี้ ส่วนsummary of qualification คือสิ่งที่น้องต้องบอกว่า เรามีดีอะไร (ไม่ใช่เมคอัพขึ้นมานะ) ส่วนใหญ่ก้มาจากวิชาที่แกเรียนอ่าแหละ อะไรที่ได้เกรดดีๆ แระพราวลี่พรีเซ้นก้ใส่ไปได้ 3. work (internship) experience อันนี้เอาไว้บอกว่าเราเคยทำงานที่ไหนมาก่อนไหม ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกงานก้ใส่พวก กิจกรรม งานอมรบต่างๆเข้าไปก้ได้เหมือนกัน 4.Skills อันนี้พี่คิดว่าที่ใส่ได้แน่ๆเรย คือ microsoft office เพราะพวกแกคงได้ฝึกใช้มาเยอะแระใช่มะ แระอีกอย่างก้พวกภาษาที่สาม

*Note: ส่วนEducation มันต้องเขียนอยุ่แล้วว่าเรามาจากม.ไหน เพราะฉนันพี่ไม่รวมนะ (เอาเฉพาะที่หลักที่อยากเน้น)

ทั้ง4อย่างนี้คือ สิ่งที่เด็กจบใหม่ควรจะใส่ไปในเรซูเม่ เพราะ บ.จะได้ตันสินใจถูกต้องว่าจะเลือกน้องไปทำงานในตำแหน่งที่เค้าขาดคนได้ไหม

เอาตรงๆต้องบอกว่า ถ้าเรซูเม่เราสวย+น่าสนใจ จะดีแระมีชัยในโอกาศการเรียกไปสัมพาดมากก่าครึ่งนาจา เพราะฉนั้นทำให้ดีๆ ควรให้อจ. หรือ เพื่อนๆดูก่อนก้ได้ว่าดีไหม ดีไซของเรซูเม่น้องโหลดตามเน็ตไม่ก้หาใน word ได้เรยนะ หรือถ้าดีไซเองก้ดี อันนี้คือเก่งมาก พี่แค่แนะนำสิ่งที่คิดว่ามันประหยัดเวลา55555

3. Cover letter
ส่วนตัวอันนี้มันดี ถ้าจะส่งdirect e-mail ไปทางฝ่ายHRอ่านะ เพราะมันดูดีก่าอยุ่ดีๆก้ส่งเรซูเม่ไปเดี่ยวๆ ส่งอันนี้พร้อมเรซูเม่ของเรา ทางHRเค้าจะได้รุ้ว่าเราต้องการอะไร มาจากไหนคร่าวๆ
*ขอบอกว่า เราควรหาข้อมูลบ.ที่เราจะส่งไปก่อนดีๆเด้อ เพราะอย่างน้อยเวลา hr อ่านจะได้รู้ว่าเราทำการบ้าน และสนใจในตัวบริษัทเค้าเท่าไหร่ จุดนี้พี่แนะนำได้ว่า อาจจะใส่ใน cover letter ว่าเราติดตามบริษัทนี้อยุ๋ เช่น มีเพื่อนๆพี่ๆเคยทำงาน ชื่อเสียงของบ.ไม่ว่าจะด้าน product หรือ marketing ของเค้า อยากร่วมงานกับคนที่ professional น้องมองว่ามันท้ามาย ก็ใส่ไปในนี้ได้นะ
4. ผลสอบภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL, TOEIC, IELTS 
แนะนำเดกที่จบใหม่ ถ้าไม่มั่นใจมาก อย่าเพิ่งสอบ ielts toefl เพราะค่าสอบแพง พี่แนะให้ไปสอบ toeic เพราะใช้สมัครได้หลายบ. แระอีกอย่างสำหรับเด็กอินเตอร์แล้วพี่ว่ามันไม่ยากมาก

พี่แนะนำให้เดกที่กำลังจบเตรียมพวกนี้ ให้ทันก่อนจบสักเทอมหรือสองเทอมเนอะ จะได้ไม่เสียเวลามาทำทีหลัง สำหรับเดกที่จบแล้วก้นั้งเตรียมไป พี่แนะนำให้ไปสอบโทอิคให้ผ่านภายใน1เดือน หรือให้เร็วที่สุด ส่วนเรซูเม่แระโคเวอเลดเตอร์เราควรทำให้เสดหลังระหว่างรอผลสอบอยุ่

โอเค ทีนี้เตรียมทุกอย่างครบแล้วก้ สมัครงานเรย อย่างแรกเรยคือ สมัครตามเว็บต่างๆเช่น JOBTOPGUN. JOBTH, JOBTHAI, JOBSDB

และก้อย่ากลัวที่จะสมัครทางตรงจากเวปของบ. ต่างๆ บางที่จะมีให้ส่งเมลแจ้งเตือนว่ามีตำแหน่งเปิดรับสมัครอยุ่ อย่าลืมไปลงกันล้ะ อ่ออ..มีอีกที่ก้คือ พวก job fair ซึ่งส่วนใหญ่บ.ใหญ่ๆเค้าจะมารับสมัครเด็กจากมหาวิทยาลัย เราสมัครตรงนั้นก้น่าจะได้ อันนี้ลองตามข่าวจากม.ต่างๆดู

*อย่าลืมมาร์คเอาไว้ด้วยว่าเราสมัครที่ไหนไปบ้างนะ เพราะบางทีเค้าโทรมาไม่ทันตั้งตัว เราอาจจะเงิบแดกได้ กลายเปนว่าไม่ได้งานก้มีนะเออ

***ส่วนพาร์ทสุดท้ายที่พี่อยากแนะนำ ก้คือแนะนำการหางานสำหรับคนเกรดน้อย กิจกรรมด้อย
ต้องบอกว่า เอาจิงๆนะ อย่าเลือกงาน ไปเลือกงานจิงๆเรยหลังจากเรามีประสบการแล้วตอนที่ทำงานกะบ.แรก อย่างน้อยปีหรือสองปีไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่เลยไปถึงจุดนั้นแล้ว เค้าจะไม่คิดว่าเกรดสำคัญอีกต่อไป5555 ถ้าอยากชุบตัวหน่อยๆ พี่แนะนำให้เรียนต่อป.โท เราจะได้รุ้มากขึ้นแระสร้างความแตกต่างกะเดกป.ตรีคนอื่นๆได้ (ความเหนส่วนตัวนะ บางทีไม่จำเปนก้ได้ เพราะค่าใช้จ่ายเยอะโฮกก แล้วแต่น้องๆตัดสินใจแระกาน)
หรือไม่ก้ลองไปสอบพวกใบเซอ หรือ อะไรที่เราคิดว่าเอามาใส่เรซูเม่ได้ เช่น สมัครสอบ CPA CFA อบรมตามม.ต่างๆ หรือฟรีสุดไรสุด ก้หาตามพวกเว็บดูๆเอา เช่นเวบ thaiMOOC เพื่อเอาใบเซอ มาเป็นเรฟในการฝึกงานได้จ้าส

ท้ายสุดถ้ามันหางานไม่ได้จิงๆ พี่แนะนำให้น้องลองทำ พาร์ททาร์ม (สำหรับคนงบน้อย) หรือไม่ก้ไปWork and travel (สำหรับคนงบเยอะ) เพราะจะได้มีอะไรมาอัพเดทกะเรซูเม่เราได้ไง

สุดท้ายยยแล้วจีๆ ก้อยากเปนกำลังใจให้น้องๆที่กำลังหางานอยุ่เน้อ มันจะเงิบช่วงจบใหม่ๆแหละสำหรับคนที่ยังหางานไม่ได้ พอหาได้เท่านั้นแหละ ก้สบายแล้ว!!

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Sports economics สาขาใหม่ของคนยุครักสุขภาพ

ในยุคของคำที่บอกว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ มันก็มีช่วงนึงที่พี่บ้าถึงขนาดที่ว่าจะย้ายตัวเองออกไปเรียนสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา 5555 เพราะเห็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสที่ตัวเองอยุ่แล้ว เห่ยยย..อยากเป็นบ้าง ก้คือตอนนั้นที่คิดแบบนี้เพราะใช้ชีวิตอยุ่ที่ฟิตเนสระดับนึงเรย 55555

ทีนี้พอมาคิดอีกที ก้เออ ศศ. (เศรษฐศาสตร์) ไปอะไรวิทย์ๆเนี่ยนะ คือจิงๆมันก้ได้นะ เพราะศศ. มันก็คือร่างอ่อนแอของนักวิทยาศาสตร์นั้นแหละ 55555 เพียงแค่เราไม่ได้เข้าแลปถ้าจะให้เปรียบห้องแลปในศศ.อ่าหรอ แลปของพวกเราคือ stata  มั้ง ฮาาา

ทีนี้หลังจากปรึกษาคนรอบตัวแล้ว...เค้าก็บอกว่ามันมีสาขานึงของวิทย์กีฬาที่รวมอีค่อนเอาไว้ด้วย!!! เราก้เห่ยยย หนทางซิ่วไปได้สูงแระนะ5555 ก้เรยลองหาในเนต สรุปคือ มันเปนสาขาใหม่มากกกกก ที่เพิ่งเปิดในอเมริกา แระมันเอาศศ.มาผสมยังไงล้ะ?

ศศ.ของเรานี่จะแยกได้หลักๆเรยอ่านะเปนสองภาค microeconomics กะ macroeconomics แมคโครคือเราดูภาพรวมของเศรษฐกิจ ถ้าไมโครเราจะเจาะลึกไปที่ภาพรวมของพวกเอกชน บริษัท แระดูว่ามันมีผลกระทบกะเศรษฐกิจเรายังไงบ้าง เช่น บริษัทแห่งหนึ่งผลิตและส่งออกสินค้าได้มากแค่ไหน

ส่วนวิทยาศาสตร์การกีฬาเนี่ยนะ เท่าที่พี่หาดูมันจะแนวๆชีวะ เช่น เรียนเกี่ยวกะร่างกายของคน anatomy นั้นแหละ  แระก้จะมีพวกทฤษฏีที่แบบว่า ออกกำลังกายส่วนไหนจะได้กล้ามเร็วที่สุด แต่หลักๆเรยก้จะเปนพวกกีฬานั้นแหละ 5555

ที่พิมๆมาก้พอเกตไอเดียกันแมะ 5555 คือถ้ามองแบบกรวงๆแล้วอ่านะ มันต่างกันมากเรยนะว่อย 55555 แต่ๆ ก็มีคนที่เอาสองเมเจอร์นี้มายำรวมกัน แระสาขาที่เปิดที่เดียวตอนนี้มีแค่ที่อเมริกาจ้าาาา.. 55555

ก้คือถ้าจะให้เล่าแล้วศศ.การกีฬา มันตกลงแล้วยังไงเนี่ย พี่ว่ามันเป็นการดูกลยุทธ์ของเกมส์ โดยใช้ศศ.จุลภาค มาใช้วิเคราะห์ หรือที่เราเรียกกันว่า game thoery นั้นแหละ

แระทีนี้ บางคนคงเอ้ะ ทฤษฎีเกมส์เนี่ยนะ?? อืมมม ตอนแรกพี่ก็งงแต่ในเมื่อมันมีก้ต้องเหล่าให้ฟัง 5555 คืองี้ ในทฤษฎีเกมส์ของชาวศศ. เรามีมากมายหลากหลายทฤษฎี เท่าที่พี่จำได้คือ หาความสมดุล (nash-equilibirum) ของเกมส์ช่ะ และในการกีฬา เค้าจะมีการจัดทีม การดูกลยุทธ์ของคู่แข่ง เราเอาทฤษฎีเกมส์ตรงนี้แหละมาใช้วิเคราะห์ เช่นคำนวณหาincentive payoffs หาค่าความเปนไปได้ว่าคู่แข่งจะเล่นเกมส์ยังไง (แบบในทีมฟุตบอลเค้าจะเลือกใครลงแข่ง) แระก้น่าจะมีการหาค่าoptimization แระ cost structure ไรงี้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เจอคือเปนวิชาจากภาคไมโคร ล้วนๆเลยจ้า...

ถ้าให้พี่เดาทางของคณะนี้นะ มันน่าจะแบ่งตัวจาก วิชาการจัดการมาได้ส่วนหนึ่งด้วย หลักๆก้น่าจะพวก กาาจัดการคน hr management แระก้พวก operational management ที่น่าจะเกี่ยวกะกลยุทธ์ของการจัดทีมในการกีฬา

ส่วนพวกวิทยาศาสตร์การกีฬาน่าจะเปนพื้นฐาน เหมือนเรีนนกันตอนปี1 แระมาลงเรียนศศ.ตอนปี3-4 ไรงี้ หรือมันจะสลับกันก้ได้นะเออ แบบเรียนศศ.ก่อนแระมาวิทย์งี้

สรุปแล้วน่าสนใจไหม พี่คิดว่าสำหรับสังคมสมัยนี้ที่คนต่างหันมารักสุขภาพมากขึ้น พี่ว่าน่าสนใจพอควร เพราะต้องบอกก่อนว่าอีค่อนเนี่ยนะ มันเน้นการประยุกใช้ในชีวิตต่างๆแต่ปัจจุบันอีค่อนเราถูกทำให้ออกไปแนวสายสังคมศ.มากขึ้น ซึ่งพี่มองว่าถ้ามันได้รวมกะวิทยศ. ไรงี้หน่อยๆ มันจะทำให้น้องแกร่งขึ้นมากมาย อย่างน้อยมันจะทำให้น้องไม่ง่อยเรื่องวิทๆ แระไปเรียนต่อโดยไม่มีอุปสรรคทางนี้ต่อไป อีกทั้งเพิ่มความน่าสนใจในประวัติ หรือก้คือ แรงงานตลาดต้องการคนจบแนวมิกส์ๆเยอะขึ้นแล้วนาจา

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

General education เค้าเรียนอะไรกันที่มูอิค

General Education
มันก้จะเปนวิชาพวกพื้นฐานต่างๆนาๆอ่านะ 

1.1 English Communication
วิชาอังกฤษ ที่ต้องเจอมีประมาณ 4-5 ตัว อย่างที่บอกไปตอนก่อนๆ ว่าถ้าคนที่เริ่มด้วย ERS ก็จะต้องเรียนทั้งหมด 5 ตัวครับ

ตอนพี่เรียนพี่ติด ERS อ่านะ เป็น วิชาที่เขียน Essay ชิ้ลชิลลล แต่ก็มีคนสอบไม่ผ่านมาแล้ว อันนี้ขอแนะนำว่า ชิลได้แต่ขอให้ส่งงานให้ครบ และที่สำคัญตัวนี้ไม่มีเกรดเนอะ ก็ตั้งใจหน่อยๆแระกัน เพราะมันเป็นพื้นฐานของการหาข้อมูลและการอ้างอิง (Reference) ซึ่งน้องๆจะได้ใช้ในวิชาอื่นๆอย่างแน่นอลล

วิชานี้ก็จะเรียน เกี่ยวกับการหาข้อมูลอ้างอิงในสิ่งที่เราจะเขียน เหมือนสอนให้เราหาแหล่งข้อมูลที่มันดูน่าเชื่อถือ (ที่ไม่ใช่เอามาจากวิกิพีเดีย)แระ อจ เค้าก็จะกำหนด style+pattern ในการเขียน สอนวิธีrestatement และ citation แบบ  APA style ซึ่ง ข้อมูลทุกอย่างจะต้องไม่โดนก๊อปมาส่ง อจ.เค้าจะมีวิธีเช็คโดยการให้นร. ส่งงานเขียนเข้าไปใน Turnitin อันนี้จะเป็นเว็บที่ ตรวจข้อมูลเทียบกับเว็บต่างๆว่ามันมีเปอร์เซ็นสูงแค่ไหนในการก็อป ซึ่งถ้าน้องๆก็อปๆมาส่ง อจ.ก็จะรู้ทันที โหดมิล้ะ 5555

ตอนพี่ลงวิชานี้ พี่เรียนกับอจ.Russel ซึ่งหลายต่อหลายปากได้บอกกันว่าเค้าโหดมากกก เอาจิงเค้าก็โหดจิงๆเพราะ เค้าบ้าตรง Reference หรือหา DOI (จำไม่ได้ว่าย่อจากอะไร) แต่เท่าที่จำได้มันจะต่างจากแหล่งข้อมูลที่หาตามเว็บต่างๆหน่อย เหมือนจะมี รองรับข้อมูลว่ามันเป็นจริงไรงี้มั้งงงนะ แต่ๆๆถ้าถามว่า ข้อมูลตาม เว็บข่าวแบบ CNN ไรงี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน เพียงแต่คะแน้นแนนน้อยยย 55555 (แต่ๆๆ**ก็ไม่เห็นต้องแคร์เลยเนอะ เพราะว่ามันก็ไม่ได้มีเกรดอยู่แล้วหนิ เอาให้ผ่านก็ได้แล้วมั้งงง อิอิ)

ต่อกันด้วย EC1 ซึ่งรวบยอดมาจาก ERS แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเรียน ERSเลย อจ.ส่วนใหญ่ก็จะปูพื้นฐาน แต่ไม่เข้มข้นเท่าตอนเรียนERS คือสอนคาบหนึ่งได้และก็ไปต่อ นอกนั้นรีวิวเองนาจา และอจ.ก็จะตามด้วยการสอนวิธีการเขียนเอสเสแต่ล้ะ Format (คล้ายๆในไอเอล) เท่าที่จำได้ก็จะมี illustration อะไรงี้ การส่งงานก็เหมือนเดิมเลยย ล็อคอินเข้า Turnitin กดส่งและ คะแนนอะไรออกในนั้นหมด (จะได้ไม่ต้องอายเพื่อนๆ 5555)

อีซี1พี่ลงกับอจ. Stein Phillip อจ.คนนี้ใจดีมากกกกกก (ขอแนะนำนะถ้าเค้ายังสอนอยู่) คือ วิธีการสอนของแกจะชิลๆและปรับเข้ากับเด็กๆในคลาส แบบ วันนี้ถ้ามันหนักเกินไปและเด็กมีมิดเทอมอยู๋ อจ.แกก็จะให้นั้งรวมกลุ่มคิดหัวข้อเขียนเอสเสไรงี้ อยากจะบอกว่าตอนพี่เรียนวิชามันพีคมากตรงที่ มีชุมนุมกลุ่ม กปปส และเหมือนตอนนั้น ม.ให้เด็กหยุดไปเลยยยช่วงไฟนอล วิชานี้เลยไม่มีไฟนอลเพราะว่าอจ. ฟิลิปแกน่าจะไปเที่ยวแล้ว ส่วนเกรดนั้นอจ.แกก็เพิ่มเปอร์เซนของแต่ล้ะงานให้มันครบ 100% (ขอชมอจ.นิดนึ
งตรงที่เค้ามองคะแนนเด็กแต่ล้ะคน ล้ะดูว่าจะเพิ่มตรงไหน แบบถ้าเด็กคนไหนคะแนนไม่ดี เค้าก็จะเพิ่มทั้งเซค งานนั้นน้อยๆ แบบเพิ่มขึ้นมา 5%ไรงี้ และอย่างอื่น 10%) อันนี้ต่างคนก็ต่างแฮปปี้กับเกรดกันถ้วนหน้า

ส่วนอีซี2 หลายคนบอกจะไปยากตรง Argument essay ซึ่งเราต้องเขียนแย้งให้ได้ว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น รวมถึงหาข้อมูลมาซับพอร์ตเราด้วย และเขียนอีกว่าทำไม ไม่เชื่อตามคนที่เขียนในArticle พี่จำได้ว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะอจ.จะแนะนำและคอยดูว่าเราทำถึงไหนอยู่เหมือนกัน ตอนอีซี2 พี่ลงกับ อจ.Willaim อจ.คนนี้ก็ออกแนวตลกๆดี เน้นความฮาในคลาสทำให้ไม่เครียดมาก แต่ตอนตรวจก็แอบหวังว่าแกจะช่วยหน่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ 55555 รู้สึกถ้าจำไม่ผิดก็จะมีให้ส่งเอสเส ทั้งหมด4หัวข้อนะ มีบางงานอจ.จะจับเราเข้ากลุ่มแล้วให้ช่วยกันหาข้อมูลได้ แต่สุดท้าย เอสเสส่งแบบเดี่ยวๆนะ อารมณ์แบบรักเพื่อนช่วยเพื่อน แต่สุดท้ายตัวใครตัวมัน!! ขอเตือนว่าอย่าชิลจนเกินไปเพราะว่า งานหนึ่งนี่ต้องใช้เวลาเขียนพอสมควร มันจะยากตรงเรียบเรียงข้อมูลแหละส่วนใหญ่ ส่วนความยากอันที่สองก็น่าจะเป็น Logic ในการให้เหตุให้ผล ในเอสเส อะไรทำนองนี้ สุดท้ายพี่ก็เห็นผ่านๆกันหมดนะ จะตกก็พวกที่ไม่ส่งงานอ่ะ 55555

มาถึงอีซี3 วิชานี้เป็นวิชาที่พี่คิดว่าทรมานมากสุดแล้วในบรราดาอีซีทั้งหลาย เพราะพี่เป็นคนที่ชอบเขียนมากกว่าพูดอ่านะ (พรีเซ้นวิชาอื่่นทีนี่ มือไม้สั่นไปหมด ฮาาา) แต่ พอเรียนจิงๆเห้ยย เม่งง สนุกว่ะ นั้นแหละ อีซี3 คือ "The Art OF Speaking"  ซึ่งเนื้อหาที่เรียนก็จะเรียนเกี่ยวกับการพรีเซ้นโปรเจคหน้าห้องเรียน ถ้านึกไม่ออก อารมคล้ายๆแบบ ไปยืนนำเสนองานให้หัวหน้างานฟังไรงี้ 555 ซึ่ง สิ่งที่จำเป็นมากมาย ก็คือการทำ Power point และการพูด การเรียบเรียงความคิดในการนำเสนอ

สิ่งที่ทำให้อีซี3ส่วนใหญ่ มีแต่คนบอกว่า เห้ยๆๆ สนุก พี่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะ เราไม่ต้องหา Reference หรือเปล่า คือ มี แต่ก็น้อยไง อย่างอจ.พี่ นี่ ให้ cite แค่4 ref. เองนะ และอีกอย่างคือ มันไม่ต้องเครียดมาก เพราะ ถึงตื่นเต้นยังไง พรีเซ้นเสร็จแล้วมันจะรู้สึกดีใจมากกๆๆ 555 ส่วนอจ. พี่ลงกับอจ.ที่ชื่อ Mark นะ ถ้าจำไม่ผิด คนนี้เค้าใจดีอยู่ แต่คิดว่าลงกับคนไหนก็น่าจะคล้ายๆกันเพราะ ec3 จะกำหนด standard ไว้นะ แบบพรีเซ้นตอนไฟนอล ก็จะมีอจ.อีกหลายๆเซคมาช่วยตัดสินให้คะแนนอยู๋ดี รวมๆแล้ว พี่ว่ามีความชิลไปในตัวสะด้วยซ้ำ เพราะมิดเทอมอีซี3ก็ไม่มี เอาเป็นว่า อยากให้น้องๆเจอกับตัวเองและดูเองว่าเป็นแบบที่พี่เล่าป่าวนะ อิอิ

ส่วนEC4 พี่เลือก Introduction to linguistic วิชานี้ก็จะเรียนเกี่ยวกะ"ภาษา" ตอนแรกก็จะเรียนภาษาของสัตว์ก่อน แระไปต่อยอดการรับรู้ภาษาของมนุษย์ รวมไปถึงศึกษาสมองและวิธีการออกเสียงด้วย วิชานี้รวมๆน่า่สนใจดี ตอนเรียนสนุกมากก มิดเทอมกับไฟนอลอจ.มีไกด์ให้ เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจลองหาตำราของราม Ebook ก่อนก้ได้ อ่านในนั้น ถ้าสนใจจิงๆลงเลย แนะนำๆ

1.2 Natural science, 
ไม่มีอะไรมาก ก็เลขๆๆ ประมาณ 4ตัวนะ สำหรับคนที่ติดRefresher Math ถ้าใครไม่ติดก็สบายไป โดดไปเรียน เมตริก กราฟ บลาๆ ใน Intensive math ส่วน math1 (Dif/integrate) และ math 2 (stat.) สองวิชานี้จะเป็นวิชาที่มีเครดิตเด้อ

ใน Nat sc. พาร์ทเลข ของเด็กบีบีเอ อย่างพวกเราๆก็จะไปเรียนรวมกะเด็กเมเจอร์อื่นด้วย แบบ เด็กที่เรียนสายสังคม ฟู้ดไซ อะไรงี้ก็มาเรียนกันด้วยนะเออ ก็จะบอกว่าน้องก็จะเจอกันช่วงนี้แหละ หลักจากนั้นก็แยกย้ายตามเวรตามกรรม ฮาาาา โอเชช เลขตัวที่1 คือ refresher math ตัวนี้เรียกได้เลยว่า เรียนพื้นฐานเลขแบบ เ*ยๆเลยย แก้สมการเบื้องต้นต่างๆนาๆ บวก ลบ เลข เนื้อหาเซตก้มีนิดๆไม่ยากๆ ชิลๆๆเลยแหละ แต่ก็มีคนตกนะเออ 55555 และ ตัวที่2 ที่เค้าจะให้น้องๆเรียนต่อ ก็คือ Intensive math ตัวนี้ พี่จำได้แต่ว่ามันไม่ยากขนาดนั้น เป็นเนื้อหาเลขม.4-5 น่าจะ สร้างกราฟ ฟังชัน Hyperbola ต่างๆนาๆ ภาคตัดกรวยก็มี และตามตบท้ายด้วย เมตริก (มีอีก แต่จำได้แค่นี้ TT) ส่วนใหญ่ที่เจอ พี่คิดว่า (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ) เด็กที่ไม่ได้ผ่านม.ปลาย รร.ไทยหลักสูตรโหดๆมาก็จะตกกันระนาบ บางคนนี้คาบเส้นผ่าน แต่เอาเหอะ คิดอีกมุม ผ่านพอแระเพราะมันไม่มีเครดิตให้เก็บ 5555

ตัวที่3 จะเป็นเนื้อหาของ Fundamental math ซึ่งเรียนเกี่ยวกะ Optimization หรือดิฟ อินทีเกรด สมการ Second degree differentiation ก้มานิสๆ แบบที่เรียนกันตอนม.6อ่า (แต่ไม่โหด แบบให้ดิฟ cos,sin,tanนะ อันนั้น เด็กพวกApplied math เจอ) ตามหลักสูตรนั้นเป้ะๆเลย แต่ถ้าถามว่า เห้ยยย ไม่เคยเรียนอ่าพี่ ทำงายยยยยเดดด... บอกเลอว่า อจ.จะปูพื้นฐานชนิดที่ว่า เด็กที่เคยเรียนมาตอนม.ปลายแบบพี่ ก็ยังงง 55555 เพราะเค้าสอนไม่รุ้เรื่องจิงๆ (พูดอะไรก้ไม่รุ้ งึมงำๆ วกไปวนมา) อันนี้ ยอมรับเลยท้อเพราะอจ. (ทุกวันนี้กะยังจำชื่ออจ.ไม่ได้เรยนะ) ไปนั้งงมเนื้อหาตอนม.ปลายยังดูง่ายก่าที่อจ.สอน ฮาาา ตัวนี้ขอเตือนนะ เพราะเห็นเพื่อนๆพี่ๆตกหลายคนเลย ส่วนใหญ่คนที่บอกว่าผ่าน intensive math แบบเป้ะๆเว่อ และพื้นฐานเลขไม่แน่นก็จะตายๆกันไป หรือไม่ก็ได้ D+ ครั้งแรกในชีวิตปี1 5555 อันนี้ไม่ได้ขู่หรือว่าใครนะ เพราะเห็น แบบนี้จิงๆ สิงที่แนะนำได้ คือ อย่างแรกทำใจกะอจ. ถ้าเค้าสอนไม่รุ้เรื่อง คือ ปกติ 555555 อย่างที่สองคือ หมั่นทวนเยอะๆ ทำโจทย์เยอะๆ หนังสือที่อจ.ให้อ่าน เค้าออกไม่เกินนั้น ทำโจทย์ในนั้นชิลๆไปก้ได้ แต่ปันหาคือ มันไม่มีคำตอบก็อาจจะ หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ยังไงก็ไปถามอจ.เอาคำตอบได้

ตัวที่4 คือ สถิติ ซึ่งก้คือแบบเดิมแหละ ก่อนมิดเทอมนี่มันคือ เนื้อหาม.ปลายชัดๆแบบหา ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน มัธยนิยม หาco-variance พื้นที่ใต้กราฟ บลาๆๆ จะไปหนักก็ตรงหลังมิดเทอมขึ้นไป คืออารมแบบนรกแดรกก 5555 พี่ก้จำไม่ค่อยได้แล้วเรียนอะไร เพราะพอผ่านแล้วมันไม่ได้ใช้เลยย มีใช้นิสหน่อยยย ตอนเรียน Econometric วิชาเมเจอร์พี่ แต่อันนั้นเอาโปรแกรมรันได้ ประมานว่าเข้าใจความหมายก็โอเคแล้ว ยังไงก็สู้ๆนะทุ้กคนนน ทวนเยอะๆ อย่าโดด***

ส่วนวิชาที่เหลือสองตัว ใน gen ed อันนี้เนื้อหาก็จะเน้นไปที่ พวกวิทยาศาสตร์แต่ก็อย่างที่บอกไปตอนต้น ส่วนใหญ่เรียนที่มูอิคจะเป็นliberal arts ซึ่งก็จะไม่ค่อยมีคำนวณเยอะเท่าไหร่

อ่าา อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่าสองตัวที่เหลือพี่เรียนอะไรอ่าดิ คืองี้ พี่ลง internet technology กะ ecosystem ตัวแรกนี่แนะนำมากๆเลย ลงเทอมแรกก้ได้นะเพราะชิลเว่ออ มันเป็นวิชาที่พี่ก้ยังไม่รุ้เลยว่าเรียนแล้วได้ไร 5555 เท่าที่จำได้ก้การใช้เน็ตนะ แบบพวก adsl, search engine บลาๆ อะไรที่เกี่ยวกะอินเตอร์เน็ตไม่พ้นวิชานี้แน่ๆ ส่วนอีตัวที่สอง ใครไม่เก่งวิทย์ลงได้นะแต่อ่านในหนังสือหน่อยเพราะ แอบยากนิสๆ หลังมิดเทอมคือ ยากโครต เรียนไม่ค่อยรุ้เรื่องด้วยจำได้เลย เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ชอบ อจ.โหด อย่าลงเล้ยย อจ.คนนี้คือ Lard Allen นาจาา (คนเดียวกะที่สอนปั่นจักก้านั้นแหละ)

1.3 Humanities, 
อันนี้ แล้วแต่น้องๆเลือกเลย ตอนพี่เรียน พี่เลือก
วิชาบังคับ1 ตัว พี่เรียน Logic หรือ ในภาษาไทย เราเรียกว่า ตรรกศาสตร์ หรือ ศาสตร์ของการให้เหตุให้ผลนั้นเอง วิชานี้ น้องๆม.ปลาย ร.ร.ไทย จะคุ้นๆเพราะพวกเราเคยเรียนไปแล้วในวิชาเลข ตอนม.4!!! (ยังจำได้ไหม จำได้หรือป่าววว...) แต่ อันนี้ จะไม่ใช่เลข แต่มันคือ การเอาเครื่องมือของการโลจิก มาใช้ในการวิเคราะห์ประโยค ภาษาอังกฤษ ออกแนวแบบ เอาไปใช้ได้ตอนเขียนเอสเส ของอีซี2 Argument เพราะสุดท้ายแล้วเหตุและผลต้องสมกัน ไม่งั้นขัดหลักโลจิก

วิชานี้ สำหรับใครที่ลงนะ ตรงๆเลยนะ ขาดไม่ได้ เข้าคลาสได้ต้องเข้าให้ครบ ต้องมีวินัยในการทบทวนจิงๆ เพราะ เนื้อหาแต่ล่ะครั้งที่เรียนเราต้องเอาไปใช้ในครั้งถัดไป ซึ่ง ถ้าไม่ทวนก้จะมึนๆงงๆ และสุดท้ายก้ตายกันไปตามๆกัน 555 เห็นเพื่อนๆของพี่บอกว่า คนที่เกตก้จะเกต คนไม่เกตก้ไม่เกต แต่พี่ว่ามันไม่ใช่ มันเกี่ยวกับการเรียนของตัวเองมากกว่า ว่าเราตั้งใจมากน้อยแค่ไหน ตอนพี่เรียน ต้องทวนบ่อยมาก เพราะไม่งั้นมันจะไม่เกตทั้งหมดทันที มีคำถามอะไร ไปถามอจ. เพราะอจ. จะช่วย บางทีเปิดเป็นคลาสที่ Math clinic เน้นติวเฉพาะ โลจิกเลยก้มี 555 และการบ้านต้องทำที่อจ.สั่งไม่งั้นก้เหมือนรุ้แต่เนื้อหาแต่ไม่ได้ฝึกโจทย์

ส่วนคำแนะนำ ตอนพี่เรียน พี่ก็ซัฟเฟอร์มากกกกก เพราะ เทอมนั้นพี่ทำกิจกรรมเยอะมากก ไม่ค่อยมีเวลาทวน บวกกะว่า มันจะมีหนังสือเล่มเล็กๆที่อจ.จะให้อ่านอยู่ บอกเลยว่าพี่ไม่เกต อ่านไปสามหน้า คือไม่รู้ว่าอ่านไรไป เพราะสิ่งที่อ่าน มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่เราเห็นในปัจจุบัน (คนเขียนเค้าเขียนมานานแล้ว ประโยคไรงี้ ก้เรียบเรียงสะเข้าใจยากเลย 5555) พี่แนะนำให้คนที่เก่งภาษาไทย อ่านไทยได้โอเค แบบเข้าใจกว่าอ่านภาษาอังกฤษอยู่แล้วไปหาตำราเรียนของ ม.ฬ ดู อันนั้นเข้าใจง่ายกว่าเล่มที่อจ.ให้อ่านเยอะะ!! ส่วนคนที่ไม่ค่อยเก่งไทย หาดูเลยในยูทูปมีเยอะเยะ ติวโลจิกอะไร ก้พิมไป ขึ้นมาหมดแหละ เพราะอย่าลืม ถ้าเราซัฟเฟอ ก็แสดงว่ามีอีกหลายคนที่ซัฟเฟอแบบเราอยุ่ อิอิ สุดท้ายขอโปรโหมด สิ่งที่ได้จากโลจิก นี้หน่อยแหละกัน เผื่อมีคนสนใจ สิ่งที่พี่ได้เลย คือพี่มองดูเหตุผลของข่าวโอเคขึ้นเยอะ แบบ บางทีอ่านข่าวก็จะรุ้ว่าคนนี้เขียนดีหรือป่าว ถ้ามันไม่สมผล ก้คือ อย่าไปเชื่อ และพี่เรียนรู้ที่จะใช้ ตรรกสัญลักษร์ ในการแบ่งประโยคเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะบางที ประโยคหนึ่งมันเวิ่นเว้อมาก โลจิกเนี่ยแหละจะทำให้เรียบเรียงได้ง่ายขึ้น สุดท้ายแล้ว ไอ่วิชานรกนี้ที่หลายคนบอกว่ายากๆๆๆ ยากแต่มันใช้ในชีวิตได้จิงๆนะ ก้ลองเทียบแต่ล่ะวิชาดูเอานะ ว่าชอบหรือป่าว อ้อ ตอนพี่ลง พี่ลงกะอจ. Wong นะ ซึ่งเค้าเป็นครูคนเดียวกันกะที่สอนเลข intensive math นะ อจ.ก็สอนได้อยุ่อ้ะ ตอนพี่ลงโลจิกก็มีแต่คนบอกให้ลงกับครูที่ชื่อบาบาร่า แต่พี่ลงไม่ทันไงงง อารมตอนนั้นคืออยากขึ้นคอร์แล้ว 55555 เอาเปนว่า ไม่ว่าอจ.คนไหนจะสอน พี่เชื่อว่า เค้ามีstandard ในการสอนเหมือนกันแหละ

ส่วนอีก 2 พี่เลือก Language track - ญี่ปุ่น 1+2
วิชานี้ก็ไม่มีอะไรมาก ญป1 ก็เรียนหนังสือ มินนาโนะนิฮองโกะเล่ม1 รุ้สึกบท 1-7 นะ ส่วน ญป2 ก็จะเป็นบท 8-17 สิ่งที่แนะนำได้ คือ หมั่นทวนนาจาา 5555 เพราะ เขียนผิดนิดผิดหน่อยหักเยอะเหมือนกัน ความเป้ะของคนญป น้องๆก้น่าจะรุ้ดีอยุ่แล้วเนอะ 5555 อ่อ ต้องขอชื่นชมอจ.Takayoshi เพราะเค้าสอนดีมาก ใส่ใจเด็กมากๆ (หลังคะแนนมิดเทอมออก แกจะเรียกคนที่คะแนนนไม่ดีไปคุยว่าจะเอายังไงกะชีวิตต่อดี ทนต่อหรือยอมแพ้ เลือก!!!) 55555 เอาเป็นว่า ลงเลยถ้าคนมีพื้นฐานมาก่อน ส่วนคนไม่มีพื้นฐาน หมั่นทวนนะ มันต้องทวนจิงๆไม่งั้นไม่ทันความโหด4สัปดาป์สอบ 5555 อ่อ อีกอย่างถ้าน้องบางคนอยากศึกษาภาษาญป แบบจิงจังเลยอ่านะ แนะนำให้ลงไมเนอร์ ถ้าจำไม่ผิดรุ้สึกต้องผ่านทั้งหมด 6เลเวล หรืออะไรสักอย่าง เอาเปนว่าสนใจไปถามเซนเซล้ะกาน

พี่บอกเลยคนที่ได้ไมเนอร์ญี่ปุ่นนี่ จบออกไปก้ได้งานรุ่งเยอะมากๆเลยนะ เพราะฉนัน ลองดูก้ไม่เสียหาย ขอแค่ลองแล้วห้ามขี้เกียจ 5555 ไม่งั้น ด็อกบวก ไปแดร็กก

1.4 Social science,
อันนี้เนื้อหาของวิชาสังคมเลยย ตอนที่พี่เรียนนี่ชิลนะ แต่พอตอนสอบนี่ ยัดๆๆอย่างเดียว แนะนำให้เขียนเยอะๆ เพราะ อจ.จะได้หาจุดให้คะแนนได้ 555555

ตอนพี่ลง พี่ลง Human Geography (ชิลมากกกกก ถึงมากที่สุด555) กับ Political science (วิชาเก็บเอ ชิลมากๆ)

1.5 Health science
กีฬาๆๆนั้นแหละ แล้วแต่เราเลือกเลยย ตอนพี่เรียน พี่เลือกแบตมินตันกับพละศึกษา
ขอบอกกะใครที่คิดจะเรียนพละศึกษานะว่า มันก้ไม่ได้แย่ขนาดนั้น พี่ได้เอด้วยน้าาา วิชานี้มันออกแนวแบบ ให้ความรู้ด้านสุขภาพอ้ะ มีประโยชน์อยู่ๆๆ 5555 รวมๆ ก็โอเคอยู่นะ ชิลๆดี 5555 แต่ถ้าจะให้แนะนำลง น้องๆก็เลือกเอาที่ตัวเองชอบก็ได้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะลงอะไรจิงๆ ก็ลงแบตแบบพี่ก็ได้นะ บวก กอล์ฟ และก็ว่ายน้ำ หรือไม่ก็ ถ้าชอบความมันส์หน่อยก็ไปบาส และก็ American Flag

แนะนำ ว่าให้เก็บไปให้หมดเลยตอนปี1 ตอนลงรีจิสมันจะเต็มเร็วมากๆ แต่พวกน้องรอช่วงแอดดรอปได้นะ อันนี้ไม่มีปัญหาเรื่องAttendanceอยู่แล้ว ชิลๆเลยเพราะ อจ.ส่วนใหญ่ก็น่าจะรอพวกแอดดรอป


วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Economic courses part II

แบ่งออกมาเป็น2พาร์ท (มันน่าจะยาวมากๆ555)

International trade and finance

สองตัวนี้ตอนที่พี่เรียน จะแยกเป็นสองตัวเลยนะ แต่หลักสูตรใหม่ตอนนี้จะเอาอิสองตัวนี้รวมกันแล้ว ก้คือ เจอเทรดครึ่ึง อีกครึ่งเปนอินไฟ เออ แล้วมันต่างไงง่ะ พี่ (หลายคนถาม 5555) พี่ตอบเลย อ่อ ไม่ค่อยแตกต่างหรอก อจ.เค้าตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกส่วนหนึ่งแระเอาทั้งหมดมายำๆรวมๆกัน 55555 สรุปก็คือ เจอแทบทั้งหมดแหละน้องเอ้ยย มีบทท้ายๆๆๆเลยมั้งที่ตัดออก

เอาเป้นว่าสรุป ของอินเตอร์เทรดก่อนแระกัน ตัวนี้พี่เรียนกะอจ. Thasinee เป็นอจ. อินเตอร์เทรดที่ใจดีมากๆๆๆแระเข้าได้กะเด็กทุกคน เคยบ่นนอกคลาสว่าจบอีค่อนไปทำอะไรได้ อจ.ก็ทนฟัง และก็แนะนำนุ้นนี่ คือเอาง่ายๆอจ ชิลมากและน่ารักมากมาย5555 โหยย ถ้าอจ.เข้ามาอ่าน อยากบอกคิดถึงอจ.มากกกก TT เสียดายเจอ อจ.เทอมเดียว น่าจะเอาอจ.มาสอนวิชาอื่นด้วย เออ แต่ช่างเถอะ...คลาสแรกไปจนถึงมิดเทอมของวิชานี้ก็จะเรียนอะไร ที่มันเป็น theory ไปสะส่วนใหญ่ก่อน เท่าที่จำได้ก็จะมี

Absolute advantage (AA) <- อันนี้ ตัวพ่ออัมดัม สมิด เริ่มคิดเลยย555 เริ่มแรกก็จะassume blah blah มากมาย...เอาเป็นว่า สรุปได้ว่า มีประเทศอยู่สองประเทศ แระ2ปท นี้ผลิตของ สองสิ่ง (both countries produce the same products) เช่น X,Y แระนางก็เอสซูมอีกว่าให้ตลาดเป็น perfect competition แระกัน เพาะว่าถ้าตลาดอยู่ในconditionนี้ มันจะทำให้ set price = to wage payment หรือเอาง่ายๆ มันจะดูโอเคขึ้น ง่ายขึ้นที่จะเข้าใจไม่ต้องคิดมากนุ้นนี่ 5555 อ่อ แระนางก็เขียนให้ theoryนี้ว่าผลลัพสุดท้ายแล้วอ่ะนะ ถ้าประเทศเรามีความสามารถในการผลิต เช่น สินค้า X มากกว่าอีกประเทศ ให้เราส่งออกสินค้าX แระหยุดผลิตสินค้าY ส่วนอีกปทก็ทำแบบนี้แหละเพียงแต่คนล้ะ direction แบบ ให้อีกปท ผลิตสินค้าY  แระนำเข้า X

เอาง่ายๆคือ ถ้าจะดูตามหลักเหตุและผลมันอาจจะไม่ค่อยเมคเซ้นเท่าไหร่ แบบ เออ ทำไมปท กูต้องหยุดผลิต ตังหนึ่งด้วยฟร่ะ5555 แระอีกหลายอย่าง คุณอดัมก็ไม่ได้อธิบาย (หรือ ลืมคิดไป555) แระนี่คือเหตุผลที่มีนัก ศศ Ricado แย้งขึ้นมาว่า เห้ย มันไม่ใช่นะเว้ย แระถ้า สองปท นี้มัน Efficient หรือมี AAในการผลิตทั้งสองอย่างเท่ากันล้ะฟร่ะ 555 อืออ ท่านอดัมของเราเลยบอกว่า เออ งั้น ก็no trade ไปเส้... อือ ง่ายๆแบบนี้ก้ได้

ภาคต่อของสตอรี่นี้คือยังไม่จบ Ricardo ผู้นี้ นางไม่ยอม ไหนๆก็ Dedicate ตัวเองมาด้าน ศศ มาทั้งชีวิตแล้ว แล้ว นางก็เลยยอมทน Develop theory ต่อจากอดัม ซึ่ง มีชื่อว่า Comparative advantage คือไม่ให้ดูที่จำนวนการผลิต ดูที่  relative price comparison แทนไรงี้ ขอเตือนว่า คอนเซปนี้มันโยงไปอีกหลาย theory เลยดูเหมือนจะตบตีกันไปในตัว แต่จิงๆแล้ว มันซับพอร์ตกันเอง เหมือนเรามองเห็นของสิ่งหนึ่งแต่ตีความหลายแบบ 5555 เอาเป็นว่าสรุปแล้ว สิ่งที่อิตานี่ อยากบอกให้เด็กขีเกียจ2017 อย่างพวกเราก็คือ ถ้าทำตาม trade pattern ของนาง ซึ่งก็คือ ปท1 มีCAเป็นของตัวเอง แระให้เทรดกัน ทั้งหมดเนี่ย จะทำให้ (ขอเขียนเปนอังกฤษน้าา5555) Domestic country use the underused resources to be fully specialized in one production. The two countries can benefit from cheaper relative price comparing to when they make it on their own. หรือจะให้ paraphrase ทั้งหมดเลยอ่านะ ก็คือ "Let the pro do it!" 55555

ภาคเทรดยังไม่จบเท่านี้ ในเมื่อมีคน สนใจเรื่องเทรดเป็นจำนวนมาก ก็เลยทำให้มีหลาย theory ให้พวกเด็กๆเรียนกัน 5555 ท่านผู้นี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อขัดขวางโลกหรือว่าอะไร 5555 เพียงแต่นาง develop trade theory ตามยุคสมัยของนางเองจ้าาา5555 ซึ่งสิ่ง ที่นางสังเกตุเห็น ก็คือ ในแต่ละปทอ่านะ จะมี Endowment อยุ่ ซึ่งหลักๆมันก็คือ resource อ่าล้ะ นางผู้นี้แยกendowment เป็น2อย่าง 1.Capital 2. Labor ทีนี้ นางก็เลยบอกว่า เวลาป.ท.หนึ่งผลิตอะไรก็จะดู ที่endowment พวกนี้แหละ ถ้าอันใดอันหนึ่งมีมาก ก็จะทำให้ราคาของ มันถูก นางผุ้นี้เป็นใครไม่ได้ นอกจากสองคนนี้เลยย คือ Hecksher แระ Ohlin theory <3 รักพวกนางจางง 5555 เอาง่ายๆ ลองนึกถึงป.ทไทย ที่พวกเรารักดูสิ ไทยเรามี labour มากมายนักหนา เราก็จะใช้คนผลิตสินค้า เพราะค่าแรงมันถูกใช่มะ เราก็จะใช้แรงงานคน ผลิตสินค้า เช่น เสื้อผ้า แระราคาตามตลาดก็จะถูกก่า สินค้าที่ใช้ capital หรือพวก machine ในการผลิต

ส่วนกราฟต่างๆเราก้จะดูไปที่ผลของการที่มีนโยบายจากรัฐเข้ามาแทรกแซง เริ่มต้นด้วยเราจะดูที่ partial equilibrium (effects on government, seller, buyers and price and supply distortion) แระมองไปที่ general equilibrium (terms of trade )

Tariffs AND Non-tariff measurement
ต้องบอกว่าทางทฤษฏีนี้สองตัวนี้แตกต่างกันมักๆ Tariffs ที่เราเรียนๆกัน ก้จะมี Specific tariffs and ad-valorem tariffs ซึ่งเอาง่ายๆทั้งสองคือ แบบแรกคิดตามจำนวนที่ส่งออก ส่วนอันที่สองก้คิดเป็นเปอร์เซน

NTM จะเปนพวก Quotas, taxes, subsidies, technical regulations

WTO and its role
1. Non-discrimination
2. Most favor nation


International finance 
เป็นอีกตัวที่ซับพอร์ต อินเตอร์เทรดของพวกเรา ชาว ศศ. เพียงแต่แยกออกมาเพราะ อินเทอร์เทรด จะไม่เน้นตัวเลข จะเน้นไปที่คอนเซปสะมากก่า 5555 เอาเป็นว่าชื่อก็บอกอยุ่แล้วเนอะ Finance/เลข 5555 แระมีอินเตอร์ ด้วย อืมมม...ข้ามชาติกันเรยทีเดียววว วิชานี้ไม่มีอะไรมากก ใครบอกยากกส์...ให้เค้าตบปากตัวเองเด่วนี้!! 55555 อย่ามองวิชานี้อย่างนั้นเส้ 5555 เพราะวิชานี้ออกจะน่ารักดอกท็องงส์ขนาดนี้ 55555555 ป่าวหรอก... เอ้ยย จิงๆมันก้โอเคนะ กราฟ 300++ ได้ ชิฟขึ้นลงๆ 55555

จิงๆจะบอกว่า พูดไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรน่ากลัวมากก่าความคิดของเราอีกแล้วแหละน้องๆเอ่ยย 55555  วิชานี้มันก็กลางๆ ใครทวนบ่อยก็ได้ผลเองแหละ ใครหวังจะทำ พวก SET หรือ พวกบริษัท Exxon พวก MNCs ต่างๆนาๆ ตัวนี้เก็บ เอ นะน้องๆ เพราะมันสำคัญมากก ตัวนี้เป็นพวก Exchange rates หลักๆเลย แระมันจะเป็นเครื่องมือหลักที่ติดตัวน้องๆไปเพื่อ วิเคราะห์การเงินตลาดForex ได้เลยแหละ

เริ่มแรกเลยน้องก็จะได้เรียน เกี่ยวกะ Spot rate ซึ่งก้คืออัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาจุดหนึ่งอ่าแหละ เช่น เรทวันนี้ถ้าจะแลกเปลี่ยนของดอลล่าเป็นเงินไทยอยุ่ที่ 31.36789..บาท แต่ถ้าพรุ่งนี้ปุ้บเรทจะไม่ใช่เรทนี้อีกต่อไป หรือก้อย่างที่รุ้กัน มันเปลี่ยนแปลงตลอด ทำให้กำไรบริษัทที่ถือเงินสกุลต่างชาติเปลี่ยนแปลง หรือ ได้รับเงินสกุลต่างชาติแปลงเป็นไทยบาทเปลี่ยนแปลงได้ตลอด มนุษย์ที่ไม่ชอบความเสี่ยงก้เลยคิด  Forward contract ขึ้นมา

เอาง่ายๆจะใช้โดย3กลุ่มหลักๆ
1. Speculators
2. MNCs
3. Exporters and importers

นอกจากForward ก็จะมี futures แระ option แต่รุ้สึก2ตัวที่เหลือนี้จะไม่เรียนนะ ไปเจอใน MCF แทน
บทแรกๆก็จะมีประมานนี้ๆ แต่ความยากมันจะเพื่มขึ้นตามบทไปเรื่อยๆ 55555

บทที่2 ก็จะเป็น บัญชี ศศ. หรือ Balance of payments หรือ BoP อ่าแหละ อันนี้ก้จะดูความสัมพัน ต่างๆของเทรด เช่น Current account, capital account สองตัวนี้จะrecord พวก import, export, และ international finance จุดสำคัญของBoP คือ *Trade balance และ  *National reserve อันนี้ เน้นมากๆเพราะจะเอาไปใช้วิเคราะห์ อัตราแลกเปลี่ยนในระยะต่อไป

Industrial organisation

ต่อจาก คอนเซปของไมโครก็ว่าได้วิชานี้ แต่ไม่น่าเบื่อเท่า 5555 แค่มีobjective หลักตรงที่เราพยายามจะเน้นหาคำตอบว่า Why some market leads to inefficiency, by looking at its characters and types of markets exist in the world.

เริ่มแรก จะเริ่มคล้ายๆไมโครเลยแหละ ไปที่พวก Perfect competitive, oligopoly และ monopoly หลังจากผ่านสองตัวนี้ไปเราจะไปดูตลาดของ Monopolistic หรือ ตลาดที่คล้ายๆ Perfect competition และmonopoly ผสมร่างกันแต่ ต่างกันตรงที่ products are not identical, each product gets to be differentiated and firms are the price takers มันก้จะเปนมหากาพร่ายยาวไปเรื่อยๆ55555

Econometric

ให้จำว่าวิชานี้เริ่มด้วยความเข้าใจจากวิชาสถิติ (stat ทั้งหลายแหล่แห่มาเตมๆ) แต่จะเบาหน่อยตรงที่มีโปรแกรมมาช่วย แต่ๆๆๆ (หลายแต่มาก 5555) มันก้ต้องฝึกกดเครื่องคิดเลขอยุ่ดีเพราะตอนสอบไฟนอลไม่ได้ใช้คอมรันโมเดลช่วยได้ไง ตอนสอบไฟนอลสิ่งที่น้องจะเหนคือใจเหลวๆของน้องๆเอง กระดาษข้อสอบที่หนามาก (15หน้ามั้งถ้าจำไม่ผิด) แระเครื่องคิดเลข อ่อ แระก้โน๊ตที่อจ.ให้เอาเข้าได้ 5555ที่พิมไปไม่ได้ขู่นะ มันเปนแบบนี้จิงๆ แระกี่เทอมๆก้แบบนี้หมด คนที่เข้าใจคือคนที่เค้าทวนบ่อยๆ เค้าถามคำถามเวลาสงสัยไม่เก็บกักเปนเขื่อนน้ำหาคำตอบเอง เพราะเค้าเชื่อว่าเวลาเค้ามีค่า อิอิ อ่ออ หรือไม่ก้คือคนที่ไปเรียนพิเศษเพิ่ม 5555

เอาเปนว่าพี่จะพยายามเขียนว่ามันเกี่ยวกะอะไรให้อ่านแระกัน
เริ่มด้วยนี่เรยยย...
Marginal effect จำกันได้ไหมม คำนี้แปลว่าอารายย 555 มันคือหาค่าการเปลี่ยนแปลงจากการเพิ่มขึ้นมา1หน่วยช่ะ อันนี้แหละคือหลักของเศรษฐมิติ เอาง่ายๆก้คือ หลักศศ.ทั่วไปเค้าก้จะบอกว่า เช่น คนที่มีเงินเดือนเยอะก็เก็บเยอะช่ะ แต่ในเศรษฐมิติเราจะตั้งคำถามว่า ถ้าเพิ่มเงินเดือนมา เปอร์เซนๆเท่านี้เราจะเก็บเงินเพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน

หรือ ถ้าไม่เหนภาพกัน ชอบวิชามาเกตติ่งกันไหมเด็กๆ555 นักมาเกตติ่งชอบบอกว่า โฆษณาผ่านทีวีจะทำให้ยอดขายดีขึ้นเปอร์เซนเท่านี้ๆ แต่ถ้าในหลักเศรษฐมิติจะโยงคำถามไปถึง อะไรเปนปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเพิ่มได้อีก เช่น ยอดขายเพิ่มจากโฆษณาทางทีวี 15% แต่ก้มีปัจจัยโฆษณาทางสื่ออื่นๆ เช่นโฆ.ทางวิยุ Billboard ไรงี้ ทำให้ 15%นี้มันไม่น่าใช่15 หรืออาจจะเพิ่มมากก่า15%ก้เปนได้ เราจะสนใจไปทางคำถามนี้มากก่าา

หรือๆๆๆๆ ถ้าคนที่ยังไม่เกตจิงๆ เอาจิงมันก้คือ การหาสมการที่พวกแกเรียนกันในแมคโคร ไมโครอ่าแหละ เช่น  wage = 1500 + 15workexp + 2gpa ไรงี้

ทีนี้ แระมันเกี่ยวไรกะสถิติอ่าาา พี่ตอบว่า อ่อน้อง เพราะว่าเราใช้ข้อมูลในการสร้างสมการหรือ โมเดลทางศศ.ไง แระก้จะมีคำถามอีกว่า แระจะรุ้ไปทำไม ใครอยากรุ้ พี่ก้จะตอบว่า เพราะพวกแกเรียนศศ.ไง มันเลยต้องเรียน555555 แระก้จะมีคำถามยิงมาอีกว่า มันใช้ได้จิงหรอ พี่ก้จะบอกว่าอยุ่ที่ข้อมูลว่ะน้อง ถ้าข้อมูลดี มันจะใช้ได้จิงๆๆ

แระทีนี้ มีคำถามหรือสงสัยกันไหมว่าทำไมต้องโยงถึงสถิติ เราไม่ได้เรียนเกบข้อมูลหนิ พี่ก้จะบอกใช่น้อง เราไม่ได้เรียนเกบข้อมูล แต่เราเรียนวิธีวิเคราะห์ข้อมูล หลักๆเลยคือหา Variation (แปลไทยไม่ถูก) หรือ ข้อมูลเราต่างจากตัวอื่นมากแค่ไหน พิมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ยกตัวอย่างล้ะกันนะ
Variation ต่างๆก้จะมีแบบ ค่า SD. , Variance, mean ไรงี้

ข้างบนนี้อ่านแระอาจจะโอ้วว *0* โล่งอกมันก้แค่สิถิติปกตินี่ 55555 ไม่ใช่น้อง!! มันขยายร่างได้มากก่านี้ แระมันจะไปไกลมากกกกก!!! เราจะมีการหาค่า Beta, alpha, p-value, t-score, z score, standard deviation, standard errors, F-test, null-hypothesis, Durbin-watson test, white-test แระอื่นๆอีกมากมาย

แต่มันก้จะซ้ำๆแบบนี้แหละนะ แค่จะขยายร่างไปเรื่อยๆ เช่น จากหา beta ตัวเดียวในsimple regression ใน multiple regression เราจะหา beta หลายตัว ค่าอื่นก้เปลี่ยนตามไปอีกกก หรือ time-series analysis ก้จะใช้อีกรูปแบบหนึ่งเรยแหละ แระก้จะมีการสร้างโมเดลพวก co-integration อะไรงี้อีก

หลักๆนี้ เพื่อหาสมการ แระท้ายสุดตบด้วยข้อสรุปว่าสมการมันโอเคที่ใช้ได้จิงๆไหม55555